(ตอนที่2) โดย วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา รองประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภา
ความตอนที่แล้วเล่าถึงเถ้าแก่จากต่างประเทศย้ายโรงรีไซเคิลพลาสติกมาอยู่เมืองไทย เพราะไม่ค่อยเป็นที่ต้อนรับของประเทศเจ้าบ้านเดิม ทำให้ยอดสั่งเศษพลาสติกเข้ามาใช้เป็นวัตถุดิบการผลิตสินค้าพลาสติกในแผ่นดินไทยทะยานพรวด 10 เท่าตัว ในปี2561
กล่าวคือไต่จาก 3หมื่นตันเศษในปี2555 ไปเป็น7หมื่น5พันตันในปี 2557 แล้วพรวดไปเป็น แสนห้าหมื่นตันในปี2560
แต่แสบกว่านั้นเมื่อเพิ่มเป็น 5แสนห้าหมื่นตันในปี 2561
และเมื่อตรวจสถิติรายปี ที่อ้างว่าจะนำเศษพลาสติกเข้ามาหลอมใหม่เพื่อผลิตเป็นสินค้าส่งออกไปนั้น กลับปรากฏว่ายอดส่งออกเศษพลาสติกมีแต่ลดน้อยลงจนชัดเจนว่าไม่เป็นสัดส่วนกันกับการนำเข้า และลดลงเรื่อยมาโดยตลอดไม่มีผงกหัวขึ้นเลยจนบัดนี้
เครื่องหมายคำถามตัวใหญ่จึงเกิดทันที ว่า ที่อ้างกับกระทรวงอุตสาหกรรมว่าต้องนำเข้ามาเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตนั้น
เอาเข้าจริงมีขยะพลาสติกตกค้างเหลืออยู่ในแผ่นดินไทยอีกเท่าไหร่
ช่วงปลายปี2560นั้น ผมกลับมาเป็นรัฐมนตรีท่องเที่ยวพอดี พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ เป็นรัฐมนตรีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เราคุยกันเรื่องปัญหาขยะพลาสติกในทะเล และชายหาด ตลอดจนปัญหาขยะพลาสติกตามอุทยานต่างๆอันเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของไทยบ่อยครั้ง
พลเอกสุรศักดิ์เริ่มลุยกับการวางกติกาห้ามสูบบุหรี่ตามริมหาดสำคัญ เพราะเราเคยเก็บก้นกรองบุหรี่ซึ่งก็เป็นใยสังเคราะห์ของพลาสติก แล้วตกใจ ที่หาดเดียวเก็บแต่ก้นกรองบุหรี่มารวมแล้วชั่งน้ำหนักได้ถึง 5 กิโลกรัม!!
แปลว่าขนาดยังไม่ต้องนำเข้าเศษพลาสติกก็ยังมีขยะพลาสติกในประเทศที่ไปรบกวนแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากขนาดนี้แล้ว
เราทั้งสองตระหนักว่าเรื่องการใช้พลาสติกอย่างไม่ตระหนัก และไม่รับผิดชอบนั้น จะทิ้งร่องรอยความเสียหายต่อไปได้อีกนานมาก
ปี2561 มีการประสานงานหลายฝ่ายจัดชุดตรวจค้นโรงงานที่นำเข้าเศษพลาสติกในนิคมอุตสาหกรรมทั้งที่ลาดกระบัง และที่ชลบุรีในช่วงกลางปี สิ่งที่พบคือ มีการสำแดงเท็จ เพราะเจอขยะสารพัดแบบ ทั้งที่เป็นขยะพลาสติก และขยะอื่น ไม่ใช่เศษพลาสติกอย่างที่แจ้งทางการหรอก แถมเจอซากขยะอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งกำจัดยากมาก
มันน่าจะคือการเปิดกิจการมาบังหน้าเพื่อรับค่าจ้างเอาขยะอันตรายออกจากประเทศที่เขามีความเข้มงวดและจริงจังกับเรื่องมลพิษและสิ่งแวดล้อมมากกว่า
จากนั้นมีการเร่งจับกุมต่อในเรื่องนี้จนมีจำนวนถึง103คดี
แม้พลเอกสุรศักดิ์จะยินดีร่วมกับผมโปรโมทการนำปิ่นโตมาชวนให้นักท่องเที่ยวใช้ เวลาไปเที่ยวเกาะ ไปเดินป่าชมอุทยานต่างๆ เพราะปีนั้นเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เข้ามาเมืองไทยก็ร่วม35ล้านคนหรือเท่ากับครึ่งหนึ่งของปริมาณประชากรไทยเข้าไปแล้ว แต่พลเอกสุรศักดิ์ไปไกลกว่าและกว้างกว่านั้นมาก เพราะท่านได้เขียนแผนไว้ล่วงหน้าชื่อ แผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ 2559-2564 และเสนอให้รัฐบาลประกาศเรื่องปัญหาขยะเป็น วาระแห่งชาติ และยังทำโรดแมป การจัดการขยะและของเสียอันตราย
รวมทั้งให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมเรื่อง ขยะทะเลอีกต่างหาก
ท่านอธิบายเป้าหมายจะให้ไทยก้าวสู่สังคม ปลอดขยะ หรือ Zero Waste Society บนฐานคิด การจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง การทำ 3 R คือ Reduce-Reuse-Recycle ภายใต้หลักการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
จากนั้นก็ออกแผนปฏิทินการลดใช้ งดแจกฟรีถุงพลาสติกจากระดับห้างใหญ่ไล่เรียงไปจนเกิดความพร้อมของร้านค้าและร้านสะดวกซื้อขนาดเๆล็กไปจนรวมถึงเรื่องให้ลดโควต้านำเข้าแม้แต่เศษพลาสติกที่อ้างว่าสะอาดนั่นแหละ เพื่อให้นำเข้าเศษพลาสติกเป็นศูนย์ ในปี2564ในที่สุด
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบและภาคเอกชนและประชาสังคมขานรับเรียบร้อย
แล้วเราก็เริ่มเห็นคนไทยคุ้นเคยขึ้นเรื่อยๆกับการพกถุงผ้ามาเดินซุปเปอร์มาร์เก็ต เข้าร้านสะดวกซื้อปากซอย นับแต่นั้นเรื่อยมา
รออ่านตอนที่3 พรุ่งนี้ครับ