อลงกรณ์ ชี้อภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ประมาทไม่ได้ เพราะสถานการณ์เปราะบางจากปัญหาพรรคเศรษฐกิจไทยถอนการสนับสนุนรัฐบาล พร้อมแนะนายกฯ และ 10 รัฐมนตรีทำตัวเหมือนผีดิบไร้อารมณ์ เลี่ยงวิวาทะ เคลียร์ซักฟอกทุกประเด็นเน้นเศรษฐกิจปมทุจริต
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 10 คน ระหว่างวันที่19-22 ก.ค. โดยจะลงมติวันที่ 23 ก.ค.นี้ ถือเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งที่ 4 และครั้งสุดท้ายของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ซึ่งรัฐบาลจะประมาทไม่ได้ เนื่องจากปัญหาเสียงสนับสนุนรัฐบาลลดลง จากกรณีพรรคเศรษฐกิจไทยและเสียงสนับสนุนจากกลุ่มพรรคเล็กที่เป็นตัวแปรสำคัญยังไม่นิ่งเป็นสถานการณ์ที่เปราะบางมากกว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกครั้งที่ผ่านมา
ในขณะที่กระแสทางการเมืองในปัจจุบัน เอื้อต่อฝ่ายค้านใน 2 เรื่อง 1.ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่และสงครามรัสเซีย-ยูเครน 2.กระแสพรรคฝ่ายค้านดีขึ้นจากชัยชนะต่อเนื่องในการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.และการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ลำปางเขต 4
ดังนั้น รัฐบาลต้องผนึกเสียง 6 พรรคร่วมรัฐบาลให้เป็นเอกภาพมากที่สุด และแสวงหาเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้นจากกลุ่มพรรคเล็ก และ ส.ส.ในพรรคอื่นที่ต้องการสนับสนุนรัฐบาล หรือมีเจตนาจะย้ายสังกัดมาอยู่พรรคร่วมรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็จะสามารถฝ่าด่านการอภิปรายครั้งนี้ไปได้
“การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ เป็นโอกาสการทำหน้าที่อภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นครั้งสุดท้ายของพรรคร่วมฝ่ายค้าน จึงจะทุ่มเททุกสรรพกำลังในการซักฟอกครั้งนี้ โดยมุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังการอภิปราย และสร้างบาดแผลให้กับผู้นำรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลให้มากที่สุด และลึกที่สุดโดยเฉพาะประเด็นเศรษฐกิจปากท้อง และปมทุจริตเพื่อให้มีผลไปถึงการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า เมื่อสิ้นวาระของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ หรือการเลือกตั้งในปีนี้ หากมีการยุบสภาภายหลังการประชุมเอเปค
ด้วยเหตุนี้นายกรัฐมนตรีและ 10 รัฐมนตรีที่ถูกซักฟอก พึงใช้วิกฤตเป็นโอกาส โดยชี้แจงข้อกล่าวหาให้ชัดเจนกระชับตรงประเด็นพร้อมนำเสนอผลงานของรัฐบาลและรัฐมนตรีแต่ละคนประกอบการชี้แจง ประการสำคัญต้องทำตัวเหมือนผีดิบ คือต้องไร้ความรู้สึกไร้อารมณ์ และหลีกเลี่ยงการตอบโต้เพราะจะทำให้เสียสมาธิและสูญเสียเวลาโดยไม่จำเป็นในการชี้แจงทำความเข้าใจต่อสภาผู้แทนราษฏร”