วันนี้ (25 ม.ค. 67) เวลา 15.00 น. ณ SCBX Next Tech ชั้น 4 ศูนย์การค้าสยามพารากอน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา “The Better Future Forward 2024” หัวข้อ “Reinventing Thailand : Toward Becoming a Key Global Player ทำประเทศไทยให้ดีกว่าเดิม : สู่พลังขับเคลื่อนหลักในเวทีโลก” โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วมด้วย นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญสรุป ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีกับการครบรอบ 2 ปีของบริษัท เดอะ เบทเทอร์ นิวส์ ขอชื่นชนในการยืนหยัดในความเป็นตัวของตัวเองที่มีการนำเสนอข้อมูลและข่าวสารอย่างตรงไปตรงมา พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีย้ำถึงโอกาสที่ดีกว่าของคนไทยใน 4 ปีข้างหน้า ที่รัฐบาลจะเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนไทย โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการได้พบกับประธานาธิบดีเยอรมันเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า การเดินทางมาของประธานาธิบดีเยอรมันครั้งนี้เป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะเยอรมันถือเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญและเป็นนักท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของไทยจาก EU ด้วย ซึ่ง ประธานาธิบดีเยอรมันให้ความสนใจทั้งเรื่องของการค้าขาย ความมั่นคงทางการเมืองควบคู่กับเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต่างประเทศและนักลงทุนต่างประเทศให้ความสำคัญที่ไม่ใช่เฉพาะการทำธุรกิจเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการให้ความสำคัญทั้งเรื่องความเห็นต่างและสิทธิมนุษยชนที่สามารถอยู่ร่วมกันได้ นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการ Up-skill และ Re-skill ของคนไทยและคนเยอรมัน ที่ประธานาธิบดีเยอรมันให้ความสนใจ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ผ่านการทำงานของบีโอไอ ที่มีการให้สิทธิประโยชน์การลงทุนผ่านมาตรการภาษีมากมาย ทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายของการลงทุนอย่างมากจากทุกประเทศ และเราหวังว่าเยอรมันจะลงทุนในไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทข้ามชาติชั้นนำของเยอรมันหลายบริษัทมาลงทุนและตั้งโรงงานในไทย เช่น บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ และ บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งทั้งสองบริษัทจะมาตั้งโรงงานผลิตในไทยให้มากขึ้นและก้าวสู่รถ EV ต่อไปในอนาคตเช่นเดียวกับที่ประเทศจีนที่มาตั้งโรงงานจำนวนมากในไทย
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการเดินทางไปร่วม World Economic Forum (WEF) ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ซึ่งจากการที่ได้พบปะกับผู้นำประเทศต่าง ๆ และบริษัทชั้นนำของโลกต่างให้ความสนใจที่จะมาลงทุนในไทย โดยย้ำถึงการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องของ Ease of Doing Business ของไทย ซึ่งหลายบริษัทของต่างประเทศที่จะมาทำธุรกิจในไทยประสบปัญหาอยู่ ทั้งเรื่องของกระบวนการขั้นตอนต่าง ๆ ที่มาก ความซับซ้อนของเอกสาร ความเสียเวลาที่ต้องไปรอคิวทำธุรกรรมต่าง ๆ กว่าจะได้รับการอนุมัติ ซึ่งเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีถือว่าเป็นเรื่องสำคัญและบั่นทอนการลงทุนในประเทศไทย ดังนั้นรัฐบาลนี้จึงได้สร้างโอกาสเพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลเรื่อง Ease of Doing Business เพื่อทำให้การทำงานเรื่องการลงทุน การขออนุมัติต่าง ๆ ในประเทศไทย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น เช่น เรื่องของอาหารและยา ซึ่งที่สวิตเซอร์แลนด์มีบริษัทและโรงงานดังกล่าวจำนวนมากให้ความสนใจที่จะมาตั้งโรงงานในประเทศไทย และให้ไทยเป็นตลาดสินค้าเรื่องยาและเวชภัณฑ์ต่าง ๆ แต่ติดขัดเรื่องของ อย. และการขออนุมัติที่ต้องใช้เวลานาน ทั้งที่มียาและเวชภัณฑ์หลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อคนไทย ซึ่งการติดขัดอุปสรรคดังกล่าวทำให้คนไทยที่ควรจะได้รับและเข้าถึงยาเหล่านั้นด้วยความรวดเร็วต้องช้าลงไป ซึ่งเรื่องเหล่านี้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลให้ความสำคัญ โดยพยายามที่จะสร้างโอกาสให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
รวมถึงนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการดำเนินการเรื่อง Double Taxation ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญ เพราะเรื่องของภาษีที่ซ้ำซ้อนเป็นอีกเรื่องที่ถือเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนต่างประเทศที่จะมาลงทุนในไทย และทำให้โอกาสลดน้อยลงไป ทั้งนี้ หากสามารถแก้ปัญหานี้ได้โดยค่อย ๆ ดำเนินการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง อะไรที่ทำได้ให้ทำก่อน รวมทั้งการผลักดันเรื่องสุราเสรี เข้าสู่สภาฯ โดยย้ำการผลิตสุราต้องมีสูตรที่ชัดเจน คำนึงถึงการบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจ โดยย้ำจุดยืนรัฐบาลว่า เศรษฐกิจปัจจุบันวิกฤติ โดยดูจากตัวเลขการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจที่ผ่านมา ชัดเจนว่าไทยไม่สามารถสู้คู่แข่งต่างประเทศได้ ทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และกัมพูชา ประเทศเหล่านี้มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่สามที่สูงกว่าไทยมาก บางประเทศ Double หรือ Triple ซึ่งวันนี้ไทยแพ้คู่แข่ง 2 หรือ 3 เท่าตัว ทั้งนี้โอกาสที่ดีและอนาคตที่สดใสของไทยจะมืดมนลงไปหากเราไม่มีการทำอะไรให้เกิดขึ้น ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้นำเสนอมา เช่น นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ Digital Wallet ที่อาจจะมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่เชื่อว่าหาก Digital Wallet เกิดขึ้นจะทำเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบถึง 5 แสนล้านบาท และทำให้ภาคเอกชนต้องขยายการผลิต รวมถึงบริษัท ห้างร้าน ร้านค้าที่ขายของให้กับคนทำงานและประชาชน ตลอดจนเกิดการจ้างงาน ค้าขาย สั่งของ และเงินก็เข้าสู่กระเป๋าของประชาชนโดยตรง ซึ่งสิ่งสำคัญคือจะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับฐานรากอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นกระจกสะท้อนเรขาคณิตได้อย่างชัดเจนคือเป็นพิระมิด โดยคนมีเงินมากก็อยู่ฐานบน คนมีเงินน้อยก็อยู่ฐานล่าง ซึ่งฐานล่างนี้ก็มีคนต้องการความช่วยเหลืออยู่จำนวนมาก ผ่านมาหลายรัฐบาลมีการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบหยอดน้ำข้าวต้ม เช่น การแจกเงินครั้งละ 500 บาท ครั้งละ 1,000 บาท หรือ 2,000 บาท โดย 10 ปีหลัง เศรษฐกิจขยายตัวเฉลี่ย 1.8 ต่อปี จึงมองว่าวิธีการนี้ไม่เป็นผล จึงมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นการใหญ่ โดยคำนึงถึงการรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วนและแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ การมีกระบวนการขั้นตอนที่ชัดเจน และการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันซึ่งรัฐบาลนี้ให้ความสำคัญอย่างสูง
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงปัญหาหนี้ว่า หนี้ครัวเรือนของไทยสูงกว่า 90% ต่อ GDP ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่และเป็นปัญหาที่หมักหมมมาอย่างยาวนานในสังคมไทย โดยหนี้ที่เกิดขึ้นมีทั้งหนี้ในระบบและนอกระบบ ซึ่งรัฐบาลนี้ให้ความสำคัญและเข้ามาแก้ปัญหาหนี้ดังกล่าวทั้งระบบอย่างจริงจังโดยประสานการทำงานอย่างบูรณาการของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย และฝ่ายความมั่นคง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง จนเกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่งปัญหาหนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ฐานรากของพิระมิดหากปัญหาหนี้สินไม่ถูกแก้ไขก็จะเป็นปัญหา โดยถ้าฐานรากสังคมไม่แข็งแรงข้างบนของพิระมิดก็จะไม่แข็งแรงเช่นกัน ดังนั้นการแก้ปัญหาหนี้จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมาก รวมทั้งเรื่องการดูแลค่าแรงขั้นต่ำด้วย เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและทำให้ฐานรากของประเทศแข็งแรง รัฐบาลนี้จะทำให้สำเร็จตามที่กำหนดไว้
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการได้ไปปาฐกถาที่มติชนในงานสัมมนา “Thailand 2024 The Great Challenge เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส” เมื่อวานนี้ (24 ม.ค. 67) โดยย้ำถึงความสำเร็จของรัฐบาลในการเดินทางไป WEF โดยปีหน้าจะทำให้ใหญ่ขึ้นโดยจะพาเอกชนไปด้วย เพื่อสร้างโอกาสให้กับประเทศไทยมากขึ้น รวมถึงได้พูดเรื่อง Landbridge ที่เป็นโอกาสของประเทศไทยและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างรายได้ให้กับประเทศได้อย่างมาก โดยการดำเนินการเรื่องนี้รัฐบาลคำนึงถึงการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกภาคส่วน รวมทั้งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยนายกรัฐมนตรีย้ำถึงความจำเป็นต่อการดำเนินโครงการ Landbridge เพื่อจะไม่ให้ไทยเสียโอกาสและจะเป็นโอกาสที่ดีเช่นเดียวกับที่รัฐบาลสมัย ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีได้ตัดสินใจสร้างสนามบินสุวรรณภูมิขึ้น จนส่งผลให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินที่สำคัญในภูมิภาครองรับผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นจากสนามบินดอนเมืองที่แออัด และสามารถรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงนโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลดำเนินการขับเคลื่อนต่อเนื่อง ทั้งการสร้างและปรับปรุงพัฒนาสนามบินต่าง ๆ ของประเทศ เช่น จ.เชียงใหม่ ภูเก็ต ฯลฯ การช่วยเหลือภาคเกษตรกรซึ่งขณะนี้ทำให้ราคาสินค้าเกษตรหลายตัวเพิ่มขึ้น เช่น ยางพารา ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง รวมทั้งการที่นำนักธุรกิจ เช่น กลุ่มรวมมิตร ไปพบกับเกษตรกรโดยตรง ที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเปิดช่องทางการตลาดให้เกษตรกรได้ขายสินค้าการเกษตรได้เพิ่มขึ้น เรื่องการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมาก ซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทยและไทยเป็นเบอร์หนึ่งของอาเซียน ส่งผลให้นักลงทุนต่างสนใจที่จะมาลงทุนในประเทศไทย ทำให้เป็นโอกาสสร้างงานและรายได้ให้กับประชาชนคนไทยได้มาก
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือปัญหาสังคมที่เกี่ยวกับปัญหายาเสพติด ซึ่งพบว่าไตรมาสที่สี่ปีที่แล้วเราสามารถจับยาบ้าได้มากกว่าปีก่อนหน้านั้นทั้งปี จับได้มากถึง 4 เท่า ขณะที่ราคายาบ้าก็ไม่ลดแม้จะจับได้ปริมาณมาก ทั้งนี้ปัญหายาบ้าที่เพิ่มขึ้นพบว่าจะเกี่ยวกับ Geopolitics ด้วยและเข้ามาตามแนวชายแดน เช่น จากเมียนมา เรื่องนี้รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมากในการแก้ปัญหานี้อย่างยั่งยืน โดยมุ่งการดำเนินการด้วย “ความใส่ใจ” ใส่ทั้งกำลังคน อาวุธ อุปกรณ์เทคโนโลยีเข้ามาดำเนินการ ขับเคลื่อนให้เกิดผลตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยชุมชน ครอบครัว ต้องแข็งแรง ในการที่ต้องใส่ใจดูแล รวมถึงนำผู้ติดยาเสพติดสู่การรักษา อบรมอาชีพ เพื่อคืนบุคคลเหล่านี้กลับสู่ครอบครัวและสร้างคนดีสู่สังคมอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี ขณะที่เรื่องสาธารณสุขของประเทศไทยที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค ที่ทำให้คนไทยได้รับประโยชน์อย่างมากใน 20 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะทำให้ประชาชนที่อยู่ในฐานรากของพิระมิดของประเทศได้รับประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง ซึ่งรัฐบาลนี้ให้ความสำคัญเรื่องนี้และจะได้มีการยกระดับเรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรคเพิ่มขึ้นไปอีก เพื่อให้ประชาชนได้สามารถเข้าถึงการบริการด้านสาธารณสุขดีมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งเรื่อง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่รัฐบาลจะเดินหน้าดำเนินการเรื่องนี้ต่อเนื่อง ซึ่งจากการดำเนินการอย่างจริงจังของรัฐบาลทำให้ขณะนี้สภาพอากาศดีขึ้น โดยที่ จ.เชียงใหม่ดีขึ้นถึง 4 เท่า ส่วนสภาพอากาศที่กรุงเทพฯ ที่ยังไม่ดีนั้นเกิดจากฤดูการเผาที่มาจากกัมพูชา ซึ่งรัฐบาลไม่นิ่งนอนใจและจะดำเนินการแก้ปัญหาต่อไป โดยนายกรัฐมนตรีได้มีการประสานติดต่อผ่านทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาในการที่จะหาแนวทางแก้ปัญหานี้ร่วมกัน
รวมถึงรัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องรัฐธรรมนูญ สิทธิเสรีภาพบนความเห็นต่าง เช่น สิทธิการเลือกเพศสภาพ รัฐบาลนี้ได้นำเข้าสู่สภาฯ ผ่านวาระแรกไปแล้ว เรื่องอัตลักษณ์ คำนำหน้า สิทธิการเลือกประกอบอาชีพ การเกณฑ์ทหารแบบสมัครใจ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และการนำพื้นที่ในเขตทหารมาให้ประชาชนทำการเกษตร โดยนายกรัฐมนตรีย้ำขอให้มั่นใจ โอกาสที่มีไม่ใช่เพียงโอกาสทางด้านเศรษฐกิจ หรือการมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น แต่เป็นโอกาสที่ทำให้หัวใจพี่น้องประชาชนทุกคนฟูขึ้นได้จากการที่มีสิทธิเสรีภาพที่ดี และจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ต่อไป