‘บิ๊กโจ๊ก’ ยื่นหนังสือถึง ‘บิ๊กต่อ’ ถอนคำสั่งออกจากราชการ และขอคืนสิทธิประโยชน์ต่างๆ
วันนี้ 25 มิ.ย.67 ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตัวแทน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร เดินทางไปที่ศูนย์รับ-ส่ง หนังสือตำรวจแห่งชาติ สำนักเลขานุการตำรวจแห่งชาติ เพื่อยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ให้พิจารณายกเลิกหรือเพิกถอน คำสั่งให้ข้าราชการตำรวจออกจากข้าราชการไว้ก่อน
โดยเนื้อหาในหนังสือระบุว่า กรณีที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. ในขณะนั้นมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนและให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อนเมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งคำสั่งดังกล่าวขัดกับ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565 (ฉบับใหม่) จึงถือว่าเป็นคำสั่งโดยไม่ชอบ
‘ด้วยข้าพเจ้า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ได้มีหนังสือตามสิ่งที่ส่งมาด้วยหมายเลข 1 และ 2 มายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น ขอให้ยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 177/2567 ลงวันที่ 18 เมษายน 2567 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน และคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เมษายน 2567 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน พร้อมทั้งคืนสิทธิประโยชน์ต่างๆ ให้กับข้าพเจ้าและบุคคลอื่นที่ได้รับผลกระทบ โดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2567 เพื่อให้เกิดความถูกต้องและเป็นธรรม ซึ่งต่อมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ) ได้มีหนังสือตามสิ่งที่ส่งมาด้วยหมายเลข 3 แจ้งว่าไม่มีเหตุที่จะต้องเพิกถอนคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เมษายน 2567
ข้าพเจ้าขอเรียนยืนยันว่า ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ที่มีผลใช้บังคับในปัจจุบันได้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับหน้าที่ อำนาจ และภารกิจของตำรวจ รวมถึงการบริหารงานบุคคลให้คำนึงถึงระบบคุณธรรม ความรู้ความสามารถ ความมีประสิทธิภาพและประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญโดยเฉพาะในเรื่องการดำเนินการทางวินัยต้องเป็นไปด้วยความยุติธรรมและโดยปราศจากอคติ ตามมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565
กรณีผู้นำการบริหารองค์กรตำรวจโดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในขณะนั้น ได้ใช้อำนาจและดุลพินิจในการออกคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 177/2567 ลงวันที่ 18 เมษายน 2567 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน และคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เมษายน 2567 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน โดยไม่ชอบ ไม่ได้มีการยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 177/2567 และที่ 178/2567 อันมีลักษณะของการประวิงเวลาการดำเนินการเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นอย่างใดอย่างหนึ่ง จนเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าและบุคคลอื่นได้รับความเสียหาย
ข้าพเจ้าจึงได้มีหนังสือกล่าวหาไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อให้ดำเนินการไต่สวนว่าพฤติกรรม การกระทำของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ในฐานะรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและบุคคลอื่นที่มีส่วนรู้เห็นในการเสนอความเห็นดังกล่าวว่าเป็นการกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงาน พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดี กระทำการในตำแหน่งเพื่อที่แกล้งให้บุคคลใดต้องรับโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นความผิดหลายกรรม ต่างกรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 4 มาตรา 171 และมาตรา 172 และตามกฎหมายอื่นที่อยู่ในอำนาจไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือไม่
เนื่องจากสำนักนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งให้ท่านกลับมาปฏิบัติราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติในตำแหน่งเดิมแล้ว ประกอบกับปัจจุบันข้าพเจ้ายังมีสถานะตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงขอให้ท่านได้ใช้หน้าที่และอำนาจในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติดำเนินการโดยเร่งด่วน เพื่อระงับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ ใช้อำนาจไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ในขณะรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดังนี้
1.ยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 177/2567 และที่ 178/2567
2.มอบหมายหน้าที่และความรับผิดชอบให้ข้าพเจ้าปฏิบัติราชการในตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565
‘โดยหากพบว่าท่านไม่ดำเนินการ ละเลยหรือประวิงเวลาการดำเนินการดังกล่าวจนเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าและบุคคลอื่นได้รับผลกระทบหรือความเสียหายต่อสิทธิประโยชน์ต่างๆ ต่อไปอีก ถือได้ว่าท่านมีเจตนากระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต’