คืบหน้าจากกรณีที่ตำรวจเตรียมดำเนินคดีกับกลุ่ม “เทวดา” ที่รีดทรัพย์บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ซึ่งหลักฐานมาจากคลิปเสียงในโทรศัพท์มือถือของ “บอสพอล” จำนวน 2 เครื่อง และทนายบอสพอลเตรียมเข้าแจ้งความกับตำรวจ
เมื่อวันที่ 28 ต.ค.พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบช.ก. เปิดเผยว่า คดีคลิปเสียงของนางสาวกฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ นั้นขณะนี้ตำรวจเตรียมสอบปากคำกลุ่มบอสไว้เป็นพยาน โดยมีประมาณ 7 คนที่เกี่ยวข้อง แต่ตำรวจจะเรียกสอบปากคำ 3 คน ก็เพียงพอต่อพยานหลักฐาน ไม่จำเป็นต้องสอบปากคำทั้งหมด โดยมั่นใจสามารถเอาผิดได้ แต่ยังอยู่ระหว่างรอทนายบอสพอล ให้เร่งมาร้องทุกข์ดำเนินคดี โดยเบื้องต้นทนายบอสพอลได้นัดหมายเข้าแจ้งความวัน 31 ต.ค.นี้ เนื่องจากติดว่าความ แต่ตนมองว่าช้าไป จึงกำลังหารือว่าให้มอบทีมทนายมาแจ้งความแทนก็ได้ เพื่อเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้ ไม่ให้เกิดความล่าช้า เพราะคดีนี้เป็นคดีสำคัญ อยู่ในความสนใจของประชาชน และตนเองต้องการทำให้คดีนี้เป็นต้นแบบสำหรับกลุ่มที่อ้างว่าเป็นจิตอาสา ทำเพื่อประชาชน แต่ไปดำเนินการมิชอบ ก็ต้องทำให้เกิดความชัดเจน และให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยืนยันว่า ไม่ได้มีการช่วยเหลือ “ดิไอคอน” แต่เป็นการดำเนินการกับกลุ่มที่อ้างว่าช่วยเหลือประชาชน แต่ไปบังคับขูดรีดกับเจ้าของกิจการ ซึ่งก็มีเป้าหมายที่ต้องดำเนินการรวม 4-5 คน ทั้งนาย ส. , นางสาวกฤษอนงค์ , ทนายตั้ม , และนายเอกภพ สายไหมต้องรอด โดยคดีของนายเอกภพ สายไหมต้องรอด ทาง บก.ปอท. รับดำเนินการ คดีเรียกรับทรัพย์ 7.5 ล้านบาทของทนายตั้ม ให้ บก.ป. ดำเนินการ คดีคลิปเสียงนางสาวกฤษอนงค์ และนาย ส. ทาง บก.ปปป. ดำเนินการ โดยจะดำเนินการทุกคดีไปพร้อมๆ กัน ในทุกมิติ หากผู้เสียหายมาแจ้งความ ตำรวจก็สามารถดำเนินการได้เลย แต่หากไม่มาร้องทุกข์ ตำรวจก็ไม่สามารถดำเนินการใดได้
ส่วนที่ประชาชนมองว่าตนเป็นคู่ขัดแย้งกับทนายตั้มนั้น ยืนยันว่า ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง แม้ทนายตั้มจะพูดเสียดสี หรือพูดไปในแนวทางที่ทำให้เจ้าหน้าที่ดูไม่มีน้ำหนัก ก็เป็นเรื่องปกติของทนาย ตนเองไม่เก็บมาใส่ใจ เพราะเป็นตำรวจอาชีพ ตนเองเพียงทำตามหน้าที่ แต่คดีของทนายตั้มตนเองไม่ได้ดูเอง ดังนั้นให้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ บก.ป.