บอร์ดสกสค.ไฟเขียวขึ้นเงินเดือนจนท. 6% หลังรายได้พุ่งกว่า 20%
วันที่ 22 พ.ค.68 พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมผู้บริหารองค์การค้า ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) และคณะกรรมการสกสค. ว่า ที่ประชุมหารือการปรับเปลี่ยนระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ของสกสค.ที่ใช้มานานสมควร ดังนั้นจึงปรับให้มีความถูกต้องและมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การทำงานมีความราบรื่น นอกจากนี้ที่ประชุมยังรายงานงบการเงินในการดำเนินการ ซึ่งพบว่าในส่วนขององค์การค้าฯ มีผลประกอบการที่ดีขึ้น ดังนั้นจึงเห็นชอบวงเงินการเลื่อนเงินเดือนพนักงานเจ้าหน้าที่ประจำปี 2568 คิดเป็น 6% โดยใช้หลักเกณฑ์การกำหนดวงเงินเช่นเดียวกับสำนักงานคณะกรรมการสกสค. ทั้งนี้ มีพนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีคุณสมบัติตรงตามหลักเกณฑ์ได้รับการขึ้นเงินเดือนจำนวน 231 คน คาดว่าต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมเพื่อขึ้นเดือนดังกล่าว กว่า 300,000 บาทต่อเดือน ซึ่งถือว่า ไม่เกินกรอบงบประมาณตามแผนที่วางไว้.
“ที่ประชุมยังกำชับในเรื่องการใช้จ่ายเงิน โดยให้ลดรายจ่าย เพิ่มรายรับ สำหรับการขึ้นเงินเดือนพนักงานองค์การค้าฯ หลังจากที่มีการชะลอไปก่อนหน้านั้น เนื่องจากพบว่า ปีนี้มีผลประกอบการที่ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา กว่า20% เป็นเงินกว่า 144 ล้านบาท ซึ่งเป็นเพราะพนักงานทุกคนก็ช่วยกันทำงาน ” พล.ต.อ.เพิ่มพูน กล่าว.
รัฐมนตรีว่าการศธ. กล่าวต่อว่า ส่วนการสรรหาผู้อำนวยการองค์การค้าฯตัวจริง แทนนายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) รักษาการแทนผู้อำนวยการองค์การค้าฯ ซึ่งจะเกษียณอายุราชการวันที่ 30 กันยายนนี้นั้น ที่ประชุมยังไม่ได้มีการพิจารณาเรื่องดังกล่าว ซึ่งในส่วนของนายพัฒนะ ก็ถือว่า ทำงานได้ดี ดังนั้นอาจจะต้องมีการพิจารณาเรื่องดังกล่าวในลำดับต่อไป
ด้านนายพีระพันธ์ เหมะรัต เลขาธิการ สกสค. กล่าวว่า สำหรับรายได้ที่เพิ่มขึ้นมานั้น เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการศธ. กำชับในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดรายจ่าย รวมถึงการลดสต๊อกสินค้าที่ไม่จำเป็น ทำให้เงินในส่วนนี้กลับเข้ามาในส่วนของรายได้ สำหรับการชำระหนี้สินนั้น เป็นเรื่องน่ายินดี ที่ในปี 2567 และ2568 มีเงินกลับคืนมาที่กองทุนฯ ของสกสค. รวมกว่า 85 ล้านบาท แบ่งเป็นปี 2567 จำนวน 55 ล้านบาท และปี 2568 จำนวน 30 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการศธ.
เลขาธิการสกสค. กล่าวต่อว่า ส่วนความคืบหน้า การติดตามทวงเงินกว่า 2,500 ล้านบาท หลังศาลมีคำพิพากษาอดีตผู้บริหารกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคง ตามโครงการสวัสดิการเงินกู้การฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) นำเงิน ไปซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินจากบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด โดยมิชอบ นั้น สกสค.ได้มีการติดตามการบังคับคดีอย่างใกล้ชิด และมีการรายงานคณะกรรมการสกสค.รับทราบทุกครั้ง ซึ่งรัฐมนตรีว่าการศธ. กำชับในเรื่องของการบังคับคดี ซึ่งที่ผ่านมาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ดำเนินการอายัดทรัพย์ไว้ส่วนหนึ่ง และทางสกสค.ได้ติดตามทวงคืนมาได้ 2 ครั้ง แบ่งเป็นปี2567สามารถนำเงินกลับคืนมาได้กว่า 73 ล้านบาท และล่าสุด สามารถนำเงินกลับคืนมาได้อีกกว่า 1.7 ล้านบาท ส่วนที่เหลือสกสค.ร่วมกับสำนักอัยการสูงสุด และกรมบังคับคดี ได้ร่วมกันสืบทรัพย์เพิ่มเติม ซึ่งพบทรัพย์เพิ่มเติมในส่วนของบัญชีเงินฝาก และที่ดินก็ดำเนินการอายัดไว้ เพราะอยู่ในส่วนของการบังคับคดี โดยขณะนี้ตัวผู้กระทำผิดอยู่ในส่วนของการต่อสู้คดีในชั้นฎีกาต่อไป.