วงเสวนาชำแหละ ‘วิกฤติสื่อไทย’ เมื่อความน่าเชื่อถือขายไม่ได้ และนโยบายรัฐอุ้มไม่เป็น
ในเวทีเสวนาเนื่องในโอกาสประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 ของสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย บรรยากาศเต็มไปด้วยการยอมรับอย่างตรงไปตรงมาถึงวิกฤติที่สื่อมวลชนไทยกำลังเผชิญหน้า แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า คือการวิเคราะห์ที่เจาะลึกไปถึงรากของปัญหา ซึ่งไม่ได้มีแค่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี แต่ยังเกี่ยวพันกับโมเดลธุรกิจที่พังทลาย การแข่งขันกับผู้เล่นหน้าใหม่ ไปจนถึงวิกฤติเชิงนโยบาย ที่ทำให้สื่อไทยดูเหมือนกำลังลอยแพอยู่กลางกระแสธารที่เชี่ยวกราก
สมรภูมิใหม่: “สื่อมืออาชีพ” ปะทะ “อินฟลูเอนเซอร์”
ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช.
ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. กล่าวว่า วิกฤติในปัจจุบันว่าเป็นสนามรบระหว่างสองขั้วที่ยึดถือคุณค่าต่างกัน ขั้วแรกคือ สื่อมืออาชีพ (Professional Journalist) ที่ยึดมั่นในจริยธรรม (Ethics) กระบวนการบรรณาธิการ การตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact Check) และมุ่งหวังที่จะสร้าง ความน่าเชื่อถือ (Trust) เพื่อประโยชน์สาธารณะ (Public Interest) และอีกขั้วคืออินฟลูเอนเซอร์/คอนเทนต์ครีเอเตอร์ (Digital Influencer) ที่เน้นการมีส่วนร่วม (Engagement) ยอดไลก์ ยอดแชร์ และการสร้างแบรนด์บุคคล (Personal Branding) เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า
อ.พิรงรอง ชี้ให้เห็นภาพที่น่าเจ็บปวดว่าสิ่งที่สื่อมืออาชีพยึดถือเป็น “คุณค่า” และ “ความดีงาม” อาจถูกคนรุ่นใหม่มองว่า “เบียว” (คำแสลงหมายถึงพยายามทำตัวโดดเด่นผิดธรรมชาติ) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างทางความคิดและคุณค่าที่กำลังเกิดขึ้น
ความสับสนของคนทำสื่อ: เมื่อ “ความน่าเชื่อถือ” ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ล้ำค่าที่สุดอีกต่อไป
อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ อุปนายกสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิทัล (ประเทศไทย) รองผู้อำนวยการ Thai PBS
อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ อุปนายกสมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิทัล (ประเทศไทย) รองผู้อำนวยการ Thai PBS และผู้คร่ำหวอดในวงการสื่อกว่า 40 ปี ได้สะท้อนความรู้สึกสับสนและตั้งคำถามกับสิ่งที่เคยยึดถือมาตลอดชีวิตการทำงานว่า “ความน่าเชื่อถือยังเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของการทำสื่ออยู่จริงหรือ?” เขามองว่าในอดีต เมื่อประชาชนเดือดร้อนจะวิ่งไปร้องเรียนกับสื่อ แต่ปัจจุบันพวกเขากลับเชื่อมั่นและพึ่งพารายการอย่าง “โหนกระแส” หรือเพจ “กันจอมพลัง” มากกว่า
สื่อที่พยายามรักษามาตรฐานและจรรยาบรรณกลับ “อยู่ไม่รอด” ในขณะที่สื่อที่ไม่สนใจความน่าเชื่อถือ แต่เน้นการสร้างกระแสกลับได้รับความนิยมและอยู่ได้ทางธุรกิจ ซ้ำร้าย ผู้มีอิทธิพลตัวจริงในปัจจุบันกลับไม่ใช่เจ้าของสถานีหรือบรรณาธิการ แต่คือ “แพลตฟอร์ม” อย่าง Facebook ที่กลายเป็น “บก. มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก” ผู้ชี้เป็นชี้ตายเนื้อหาด้วยตรรกะที่ไม่อาจเข้าใจ และยังดูดเม็ดเงินโฆษณาออกนอกประเทศ ทำให้สื่อไทยต้องดิ้นรน “ซื้อคนดู” เพื่อความอยู่รอด
เสียงจากคนรุ่นใหม่: ปัญหาอยู่ที่ “Mindset” ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน
ประเด็นที่แหลมคมและทรงพลังมาจากเสียงของนักศึกษาฝึกงาน (Gen Z) ที่ลุกขึ้นแสดงความเห็นว่า ปัญหาที่สื่อสามารถแก้ได้เลยทันที โดยไม่ต้องใช้งบประมาณ คือ การปรับทัศนคติ (Mindset) ของคนทำข่าว เธอวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาถึงการใช้ “Word Choice” ในการพาดหัวข่าวที่ชี้นำ การใช้น้ำเสียงและอารมณ์ที่แสดงความเอนเอียง (Bias) อย่างชัดเจน ซึ่งสิ่งเหล่านี้บั่นทอนความเป็นมืออาชีพและทำลายความน่าเชื่อถือในสายตาผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการข้อมูลที่รอบด้านมากกว่าความคิดเห็นที่ถูกยัดเยียด
มุมมองนักวิชาการ: เมื่อสื่อปรับตัวผิดทาง และเดิมพันผิดสนาม
ผศ.ดร.สกุลศรี ศรีสารคาม รองคณบดี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผศ.ดร.สกุลศรี ศรีสารคาม รองคณบดี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้มุมมองเชิงวิเคราะห์ที่เฉียบคม โดยอ้างอิงงานวิจัยที่ชี้ว่าผู้บริโภคยุคใหม่มองหาความเชี่ยวชาญ (Expertise) เพื่อสร้างความเชื่อถือ แต่สิ่งที่สื่อทำในช่วงเปลี่ยนผ่านกลับเป็นการเดินหมากที่ผิดพลาด นั่นคือการจ้างครีเอเตอร์เข้ามา แต่กลับปล่อยให้ผู้สื่อข่าวที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางออกจากองค์กรไป
เธอชี้ว่า สื่ออาชีพไม่มีวันเอาชนะอินฟลูเอนเซอร์ได้ในเกมของ “Engagement” เพราะอินฟลูเอนเซอร์สามารถมีจุดยืนเอนเอียงเพื่อสร้างความถูกใจเฉพาะกลุ่มได้ แต่สื่ออาชีพถูกกำกับด้วยจรรยาบรรณที่ต้องนำเสนอข้อมูลอย่างสมดุลรอบด้าน ดังนั้น แทนที่จะลงไปแข่งในสนามที่เสียเปรียบ สื่อควรกลับมาสร้างคุณค่าในสนามที่ตนเองเชี่ยวชาญ คือการเป็นผู้ย่อยข้อมูลที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่าย การนำเสนอทางออกให้สังคม (Solution Journalism) และการสร้างสรรค์เนื้อหาเชิงลึกที่ตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนยังคงโหยหาในยุคข้อมูลข่าวสารที่ท่วมท้น แม้กระทั่งในยุค AI ที่ถึงแม้คนจะเริ่มต้นค้นหาจาก AI แต่สุดท้ายก็จะมองหา “แหล่งข่าว” ที่เป็นมนุษย์และน่าเชื่อถือเพื่อยืนยันความถูกต้องอยู่ดี
เจาะรากปัญหา: วิกฤติที่แท้จริงคือ “วิกฤติเชิงนโยบาย”
ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ได้ยกระดับการสนทนาโดยชี้ว่าวิกฤติทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงปลายน้ำแต่ต้นตอที่แท้จริงคือ วิกฤติเชิงนโยบาย
ดร.ธนกร ยืนยันหนักแน่นว่า ประเทศไทยไม่เคยมี ‘ยุทธศาสตร์ชาติด้านสื่อ’ อย่างจริงจัง และไม่เคยมีรัฐบาลใดลุกขึ้นมาอธิบายบทบาทความรับผิดชอบของสื่อต่อการขับเคลื่อนสังคมอย่างเป็นกิจจะลักษณะ
เขาได้ยกตัวอย่างนานาชาติที่รัฐบาลมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เช่น เกาหลีใต้ ที่มี Korea Press Foundation เป็นโบรคเกอร์กลางบริหารจัดการงบประมาณประชาสัมพันธ์ภาครัฐทั้งหมดอย่างมืออาชีพ ออสเตรเลีย ซึ่งมีกฎหมายบังคับให้ผลิตเนื้อหาในประเทศ และ ยุโรป ที่มีกฎหมาย Digital Service Act ที่เอาผิด “แพลตฟอร์ม” โดยตรงหากปล่อยให้มีเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชัง
ในทางกลับกัน ประเทศไทยกลับปล่อยให้สื่อเป็นไปตามยถากรรม งบประมาณโฆษณาของหน่วยงานรัฐเองก็ยังผูกติดกับ “เรตติ้ง” เป็นหลัก ซึ่งกลายเป็นแรงจูงใจสำคัญให้สื่อต้องผลิตเนื้อหาที่หวือหวาเพื่อความอยู่รอด แทนที่จะผลิตเนื้อหาคุณภาพ
ทางออกและความหวัง: เมื่อทุกฝ่ายต้องร่วมมือ
แม้ภาพรวมจะดูสิ้นหวัง แต่ในวงเสวนาก็ยังมีความหวังและข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมปรากฏขึ้นมา เริ่มตั้งแต่การปลดล็อกงบประมาณ ผ่านมาตรา 52 ของ พ.ร.บ. กสทช. ซึ่งศ.ดร.พิรงรอง ชี้ว่าเป็นช่องทางใหม่ในการสนับสนุนทุนแก่รายการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม และเรียกร้องให้สื่อช่วยกันผลักดันให้เกิดขึ้นจริง แทนที่จะปล่อยให้งบประมาณถูกใช้ไปกับเรื่องเฉพาะกิจอย่างการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 600 ล้านบาทในอดีต
ตามมาด้วยข้อเสนอของ ดร.ธนกร เรื่องการสร้าง National Platform เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ผลิตคอนเทนต์ดีๆ ได้มีพื้นที่เผยแพร่โดยไม่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ยังมีการเรียกร้องให้ ปฏิรูปตัวชี้วัด โดยเลิกระบบเรตติ้งที่ล้าสมัยและสร้างตัวชี้วัดเชิงคุณภาพขึ้นมา
และท้ายที่สุดคือการ กลับสู่แก่นของสื่อ ตามแนวทางของ ผศ.ดร.สกุลศรี ที่ย้ำว่าสื่อต้องหยุดวิ่งไล่ตามเกมของครีเอเตอร์ที่สู้ไม่ได้ แต่ให้กลับไปหาจุดแข็งที่อินฟลูเอนเซอร์ไม่มี นั่นคือ ความเชี่ยวชาญ (Expertise) ที่ลึกซึ้ง การนำเสนอข้อมูลที่สมดุลรอบด้าน และการทำหน้าที่เสนอทางออกให้สังคม (Solution Journalism)
บทสรุปของเวทีเสวนาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า วิกฤติสื่อไทยนั้นซับซ้อนและหยั่งรากลึกเกินกว่าจะแก้ไขได้โดยองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่การลุกขึ้นมายอมรับความจริงและร่วมกันหาทางออกอย่างจริงจังของทุกภาคส่วน ทั้งผู้กำกับดูแล คนทำสื่อ นักวิชาการ และกองทุน คือแสงสว่างแรกที่ปลายอุโมงค์ และเป็น “ความหวังของหมู่บ้าน” ที่จะนำพาวงการสื่อมวลชนไทยให้ก้าวข้ามวิกฤติและกลับมายืนหยัดได้อย่างสมศักดิ์ศรีอีกครั้ง