วันนี้ (8 ตุลาคม 2568) เวลา 14.00 น. ณ โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย” ในงานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทย ประจำปี 2568 “เมื่อโลกเปลี่ยน..ประเทศไทยไปทางไหน ?” โดยมี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นางสาวดวงพร อุดมทิพย์ นายกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงานด้วย โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบรางวัลให้กับสุดยอดซีอีโอทั้ง 16 คน พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย”
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงโจทย์สำคัญในวันนี้ว่า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคอุบัติใหม่ “AI” ประเทศที่ปรับตัวช้า จะสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ และ “อำนาจต่อรอง” ในเวทีโลกด้วย
นายกรัฐมนตรีให้ความหมายของคำว่า “Reset” การ Reset วิธีคิด คือ การกลับมาทบทวนสิ่งที่ทำ การ Reset ประเทศวันนั้ จึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนนโยบาย แต่เป็นการเปลี่ยน “วิธีคิด วิธีทำงาน และวิธีบริหารความร่วมมือ” ซึ่งต้องปรับตัวไปพร้อม ๆ กัน
- Reset ด้านความมั่นคง รัฐบาลมุ่งสร้างความมั่นคง ทั้งภายนอกและภายใน และกำลังแก้ปัญหาความมั่นคงตามแนวชายแดน โดยใช้ทั้งพลังของการทูต การทหาร และพลังทางเศรษฐกิจ เพื่อนำสันติภาพกลับคืนมา สู่ชีวิตพี่น้องประชาชน
“เปลี่ยนความตึงเครียด ให้กลับมาเป็น ความร่วมมือ ในอนาคตอันใกล้ เร่งจัดการปัญหาภัยสังคม ทั้งยาเสพติด การพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติ และการหลอกลวงทางเทคโนโลยี เพราะไม่เพียงทำลายชีวิตประชาชน แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจด้วย” ซึ่งได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ ยึด “หลักนิติธรรม” ด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และที่สำคัญจะไม่ยอมให้ “การทุจริตคอร์รัปชัน” กลายเป็นต้นทุนแฝงของระบบเศรษฐกิจไทยอีกต่อไป รวมทั้งประเทศไทยกำลังอยู่ในกระบวนการของการสมัครเข้าเป็นสมาชิก OECD กระบวนการยุติธรรมตามหลักนิติธรรม จึงเป็นหนึ่งในเกณฑ์ที่จะต้องถูกพิจารณา
-การ Reset ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เน้นสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ลดหนี้ ส่งเสริมเกษตรกร และสนับสนุนให้ SME ฟื้นตัวได้ พร้อมลดค่าครองชีพ ลดค่าพลังงาน และค่าขนส่ง จัดให้มี “โครงการธงฟ้า” ให้เข้าถึงทุกชุมชน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน รวมทั้ง จะเสริมความมั่นคงทางเกษตรและพลังงาน ด้วยแนวทาง smart farming สนับสนุนพลังงานแสงอาทิตย์ในภาคครัวเรือน และภาคเกษตร บริหารราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ให้เป็น “เศรษฐกิจสีเขียว” ที่ช่วยทั้งชาวนาและโลกไปพร้อมกัน
โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้คำจำกัดความ ว่า เป็นนโยบายเศรษฐกิจเฉพาะกิจ ที่เป็นการกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว
ทั้งนี้ รัฐบาลเร่งเจรจาข้อตกลงภาษีต่างตอบแทน (Agreement on Reciprocal Tax) ผลักดัน “เศรษฐกิจดิจิทัล” อย่างจริงจัง โดยเฉพาะการนำ Al และ Big Data มาปรับใช้ในการผลิต การค้าและบริการ รวมถึงอุตสาหกรรมอนาคต โดยปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุนลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน และสร้างระบบที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อความสะดวก และความมั่นใจของนักลงทุน
- ด้านสังคม รัฐบาลให้ความสำคัญกับการลงทุนในมนุษย์ จากการที่ประเทศเป็นสังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ รัฐบาลจึงมีความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าสร้างระบบที่เปิดโอกาสให้ “ผู้สูงอายุมีงานทำและมีรายได้” โดยได้หารือถึงความเป็นไปได้ในการปรับอายุสำหรับการเกษียณไว้ในโอกาสที่เหมาะสม
“รัฐบาลจะสนับสนุนอุตสาหกรรมสุขภาพ เทคโนโลยีดูแลผู้สูงวัย และปรับโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ Universal Design นั้นมีประโยชน์นัก เพราะการออกแบบเมืองและอาคารห้างร้านต่าง ๆ ให้เอื้อต่อวิถีชีวิตของกลุ่มคนเปราะบาง เด็กไทยเกิดและเติบโตอย่างมีคุณภาพ มีการศึกษาที่เท่าทันโลก มีพัฒนาทักษะ และแรงบันดาลใจที่จะกลับมาช่วยบ้านเกิด”
- Reset ด้านสิ่งแวดล้อมและดิจิทัล ประเทศกำลังเดินหน้าสู่ “สังคมคาร์บอนต่ำ” อย่างจริงจัง รัฐบาลตั้งเป้าหมายให้ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2025 และจะจัดตั้ง “ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตมาตรฐาน” ผลักดันพลังงานสะอาดในภาคอุตสาหกรรมและเกษตร ให้ได้ตามเป้า ยังจะมีการออกกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นการลงทุนระยะยาว เพื่อความยั่งยืนในอนาคตของประเทศ ด้านดิจิทัล รัฐบาลจะเร่งสร้าง “รัฐบาลดิจิทัลที่เชื่อมโยงกันทั้งระบบ” เชื่อมโยงทั้งประเทศ สร้างความโปร่งใสตรวจสอบได้ จะเป็นผลบวกต่อการป้องกันและปราบปรามการคอร์รัปชันอย่างแน่นอน
นายกรัฐมนตรีเชิญชวนให้ “มองอนาคตร่วมกัน” รัฐบาลไม่สามารถ Reset ต้องการพลัง ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชนในทุกภาคส่วน รวมถึงสื่อมวลชนด้วย เป็นประเทศไทยในเวอร์ชันที่ “พร้อมจะเติบโตอีกครั้ง อย่างยั่งยืน”
อนึ่ง รางวัลสุดยอดซีอีโอ ประจำปี 2568 จำนวน 20 รางวัล ประกอบด้วย 1) สุดยอดซีอีโอรุ่นใหญ่ ใน 7 สาขาธุรกิจ จำนวน 8 รางวัล 2) สุดยอดซีอีโอรุ่นกลาง ใน 2 สาขาธุรกิจ จำนวน 3 รางวัล 3) สุดยอดซีอีโอรุ่นเอสเอ็มอี ใน 4 สาขาธุรกิจ จำนวน 5 รางวัล 4) สุดยอดซีอีโอรัฐวิสาหกิจ ใน 3 สาขาธุรกิจ จำนวน 3 รางวัล และ 5) สุดยอดซีอีโอขวัญใจสื่อมวลชน จำนวน 1 รางวัล