กมธ.สิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ชำแหละหาดใหญ่จมน้ำ ชี้ “ผังเมืองวิบัติ” ถนนขวางทางน้ำ ท้องถิ่นขาดหลักวิชาการด้านการเตือนภัย ลั่น อย่าไปโทษรัฐบาล

วันที่ 2 ธ.ค.68 นายชีวะภาพ ชีวะธรรม ประธาน คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาติดตามสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น ในพื้นที่ต่างๆและแนวทางแก้ไขปัญหาในภาพรวม กรณีศึกษาการเกิดมหาอุทกภัยที่จังหวัดสงขลา โดยมีผศ.ดร.วสิศ ลิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำหลักสูตรวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมข้อมูล วิทยาลัยสหวิทยาการ ม.ธรรมศาสตร์ เข้าให้ชี้แจงถึงระบบการจัดการภัยพิบัติและแนวทางแก้ปัญหา
นายชีวะภาพ เปิดเผยถึงสาเหตุของน้ำท่วมใหญ่หาดใหญ่ว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากปริมาณน้ำป่าที่ไหลลงสู่พื้นที่หาดใหญ่ซึ่งเป็นแอ่งกระทะจำนวนมาก ประกอบกับฝนตกหนักเกินคาดการณ์จนเกินขีดความสามารถของคลองอู่ตะเภาและคลอง ร.1 แต่ปัจจัยร้ายแรงที่สุดคือ “การสร้างสิ่งกีดขวางทางน้ำ”
” อย่าไปโทษน้องน้ำ เขาแค่พยายามหาทางระบายของเขาไปสู่ทะเลสาบสงขลา แต่มีคนมาสร้างสิ่งกีดขวาง! เห็นได้ชัดว่า ถนนลพบุรีราเมศวร์ ซึ่งเป็นถนนรุ่นใหม่ บดอัดอย่างดี กลับไม่ถูกตัดขาด แต่น้ำต้องไปพังทางรถไฟแทน นั่นหมายความว่า การพัฒนาผังเมืองที่ผิดเพี้ยนไปได้เปลี่ยนถนนให้กลายเป็นเหมือนเขื่อนกั้นน้ำ” นายชีวะภาพกล่าว
นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตว่า ประตูระบายน้ำในคลองทั้ง 2 แห่ง อาจถูกบีบในลักษณะการสร้างที่ขวางทางน้ำ จึงต้องใช้หลักวิทยาศาสตร์เพื่อออกแบบสร้างฝายหรือสปิลเวย์ขนาดใหญ่มาแก้ปัญหา
ประธาน กมธ.ฯ ยังได้พุ่งเป้าไปที่ปัญหาการบริหารจัดการในพื้นที่ โดยเฉพาะระบบการเตือนภัยที่ล้มเหลว และการสื่อสารของผู้นำท้องถิ่นที่ใช้การเมืองนำหน้าหลักวิชาการ
“ปัญหาครั้งนี้ส่วนใหญ่น่าจะมาจากระบบของหน่วยงานท้องถิ่น โดยเฉพาะการบริหารจัดการ ที่ต้องใช้หลักวิชาการและวิทยาศาสตร์นำ แต่คนหาดใหญ่กลับไปเชื่อการสื่อสารของนายกเทศบาลนครหาดใหญ่ที่ “ฟันธงว่าเอาอยู่” ทั้งที่หน่วยงานเหล่านี้ไม่มีนักวิชาการสนับสนุนเลย และอย่าไปโทษรัฐบาล เพราะรัฐบาลไหนมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็พังหมด และถ้ายิ่งเอาเรื่องการเมือง หาเสียง และข้อมูลที่ไม่ชัดเจนมานำเสนอ ยิ่งทำให้เกิดความปั่นป่วนโกลาหล”

ด้าน ผศ.ดร.วสิศ ชี้ว่า ปัญหาภัยพิบัติได้กลายเป็นเรื่องปกติของประเทศไทยไปแล้ว แต่การเตรียมความพร้อมของ อปท. และกระทรวงมหาดไทยยังทำได้ไม่ดีในภาวะที่ไม่พร้อมปฏิบัติการ
“ทุกๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทหารจะเป็นฮีโร่เสมอ โดยเฉพาะกองทัพภาคที่ 4 ที่เข้าช่วยเหลือหน้างานตั้งแต่วันแรก ดังนั้น เราอาจจะต้องมองว่า สภาวะวิกฤตหน้างาน ใครควรเป็นคนดูแล หรืออาจจะต้องให้กระทรวงกลาโหมดูแลคล้ายๆ กับประเทศญี่ปุ่น”
ผศ.ดร.วสิศ ยังเสนอให้ทางคณะกรรมาธิการฯเร่งผลักดันให้เกิด มาตรฐานข้อมูลภัยพิบัติแห่งชาติ และมองข้อมูลภัยพิบัติเป็น “สาธารณูปโภคดิจิทัล” เพื่อปฏิรูปโครงสร้างข้อมูลในระยะยาว

ด้านนางสาวรัชนีกร ทองทิพย์ รองประธาน กมธ.คนที่ 6 เน้นย้ำว่า มหาอุทกภัยหาดใหญ่ครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่ต้องเรียนรู้และปรับตัว เพราะหาดใหญ่เจอน้ำท่วมเกือบทุกปีจากสภาพโลกที่รวน การเยียวยาเป็นแค่ปลายทางและไม่คุ้มค่ากับความสูญเสีย
“ผังเมืองและการก่อสร้างเมืองหาดใหญ่ไม่ได้พร้อมรับมือภัยพิบัติ ขณะเดียวกัน ปภ.แต่ละจังหวัด มีแผนอยู่แล้วแต่ขาด การซ้อมและทบทวนแผนเผชิญเหตุ การเยียวยาเป็นแค่ปลายทาง ไม่มีเงินเยียวยาใดจะเทียบกับความสูญเสียได้” นางสาวรัชนีกรกล่าว.
ทั้งนี้ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางสาวรัชนีกร เป็นประธานคณะทำงานเพื่อศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาในภาพรวม กรณีมหาอุทกภัย จ.สงขลา โดยจะเน้นการศึกษาในเชิงวิชาการอย่างรอบด้าน ซึ่งมีทั้งนักวิชาการด้านภัยพิบัติ สิ่งแวดล้อม ภูมิศาสตร์ และระบบข้อมูล มาร่วมเป็นคณะทำงานเพื่อวางแนวทางป้องกันและจัดทำแผนอพยพและซ้อมรับมือภัยพิบัติที่สามารถปรับใช้ในทุกพื้นที่ของประเทศไทยได้.
























