นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่าในช่วง 9 เดือนของปี 2568 มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ของไทยยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่ารวม 67,931.01 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันกับของปีก่อนหน้า 6.97% โดยมีสัดส่วนการใช้สิทธิ 81.54% ของมูลค่าสินค้าส่งออกที่ได้รับสิทธิพิเศษภายใต้ FTA เป็นการส่งออกไปยังอาเซียนภายใต้
ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) สูงสุดเป็น อันดับหนึ่ง มูลค่า 24,001.86 ล้านดอลลาร์ มีสัดส่วนการใช้สิทธิ 69.68% อันดับสอง เป็นการใช้สิทธิฯ ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) มูลค่า 19,653.11 ล้านดอลลาร์ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 96.68% อันดับสาม ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 7,580.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 73.77% อันดับสี่
ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 5,171.76 ล้านดอลลาร์ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 83.57% และอันดับห้า ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 4,125.65 ล้านดอลลาร์ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 55.99% โดยในภาพรวมสินค้าที่มีการใช้สิทธิ FTA สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ยานยนต์สำหรับขนส่งของ ทุเรียนสด ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) และ เนื้อไก่ปรุงแต่ง ตามลำดับ สะท้อนจุดแข็งทั้งด้านสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม โดยจีนยังคงเป็นตลาดยุทธศาสตร์สำคัญของสินค้าเกษตร เช่น ทุเรียนและมันสำปะหลัง ขณะที่อินเดียเติบโตโดดเด่นจากสินค้าอัญมณีและแพลทินัม เปิดโอกาสสำคัญให้ผู้ผลิตไทย โดยเฉพาะในกลุ่มแพลทินัมและโลหะมีค่า ได้ใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี

สินค้าที่มีการใช้สิทธิฯ สูงในช่วงม.ค.-ก.ย. ปี 2568 แบ่งเป็นสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป 5 อันดับแรก ได้แก่ ทุเรียน เนื้อไก่ปรุงแต่ง ชิ้นเนื้อและส่วนอื่นที่บริโภคได้ของสัตว์ปีกแช่แข็ง น้ำตาลที่ได้จากอ้อย ผลไม้สด (เงาะ ลำไย ทับทิมสด) มูลค่ารวม 19,635.85 ล้านดอลลาร์ส หรือคิดเป็นสัดส่วน 28.91% ของมูลค่าการใช้สิทธิฯ ทั้งหมด
สินค้าอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ได้แก่ ยานยนต์สำหรับขนส่งของ ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) เครื่องจักรอัตโนมัติ เครื่องปรับอากาศแบบติดหน้าต่างหรือติดผนัง มูลค่ารวม 48,295.16 ล้านดอลลาร์ส หรือคิดเป็นสัดส่วน 71.09% ของมูลค่าการใช้สิทธิฯ ทั้งหมด
โดยทุเรียนยังคงครองตลาดจีนอย่างแข็งแกร่ง และเนื้อไก่มีการเติบโตตามความต้องการบริโภคในจีน และญี่ปุ่น สะท้อนความเชื่อมั่นต่อมาตรฐานการผลิตอาหารของไทย ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของไทย ที่ยังรักษาความได้เปรียบด้านฐานการผลิตภายในประเทศ
นางอารดา กล่าวว่า การเติบโตของการใช้สิทธิ FTA ของไทยไม่เพียงเป็นสัญญาณเชิงบวกด้านการส่งออก แต่ยังสะท้อนการยกระดับบทบาทของไทยในห่วงโซ่การผลิตโลก โดย FTA ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs และเป็นกลไกที่จะผลักดันให้ไทยก้าวสู่บทบาทแนวหน้าในเศรษฐกิจภูมิภาคในระยะยาว โดย FTA ฉบับใหม่ที่ไทยอยู่ระหว่างเร่งเจรจา ได้แก่ ไทย-สหภาพยุโรป และไทย-เกาหลีใต้ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเปิด “ตลาดพรีเมียม” ของโลก และเข้าถึงผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงและให้ความสำคัญต่อคุณภาพ มาตรฐาน และความปลอดภัยของสินค้า โดยเฉพาะความตกลงไทย-สหภาพยุโรป ที่จะช่วยเชื่อมโยงไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานยุโรป ส่งผลให้ไทยมีบทบาทโดดเด่นขึ้นในห่วงโซ่การผลิตระดับภูมิภาค
นางอารดา กล่าวว่า กรมฯ ยังเดินหน้าทำงานเชิงรุกทั่วประเทศ ผ่านการจัดสัมมนาและอบรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับการใช้สิทธิ FTA ตั้งแต่กฎถิ่นกำเนิดสินค้า การออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า รวมถึงความคืบหน้าของ FTA ฉบับใหม่ โดยในปีงบประมาณ 2569 กำหนดเป้าหมายพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไม่น้อยกว่า 1,300 ราย โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 กรมฯ ได้จัดสัมมนาที่จังหวัดอุบลราชธานี ภายใต้หัวข้อ ‘FTA GO! ขับเคลื่อนการค้า เพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการไทย’ ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงเป็นจำนวนมาก โดยกรมฯ จะเดินสายจัดสัมมนาต่อเนื่องที่จังหวัดเพชรบุรี ในวันที่ 17 ธ.ค. 2568 นี้ ก่อนขยายสู่จังหวัดอื่น ๆ อาทิ ระนอง ปราจีนบุรี กรุงเทพมหานคร เชียงราย สงขลา พระนครศรีอยุธยา ตาก จันทบุรี พิษณุโลก และชลบุรี ต่อไป






















