แหล่งข่าววงในตึกไทยคู่ฟ้า เปิดเผยกับ ว่าหลังจากการประชุมกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ หรือ พปชร.เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ที่ผ่านมา เป็นที่แน่ชัดแล้วว่ายังไม่มีการปรับกรรมการบริหารพรรค โดยหัวหน้าพรรคยังเป็นพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และเลขาธิการพรรค ยังเป็นร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ยังเป็นเหรัญญิกพรรคอยู่เหมือนเดิมนั้น เรื่องดังกล่าวทำให้เกิดความคลางแคลงใจในการทำงานต่อกันหลังจากนี้ โดยเฉพาะพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมที่ยังคงเป็นแคนดิเดตบัญชีรายชื่อนายกฯของพรรคพปชร.อยู่ รวมถึง 6 รัฐมนตรีที่ออกมาเคลื่อนไหวและได้เขียนหนังสือลาออกไว้เพื่อต้องการปรับเปลี่ยนในกรรมการบริหารพรรคด้วย มีความเห็นว่า อาจทำให้รัฐบาลทำงานไม่ราบรื่นในเวลาที่เหลืออีก 1 ปีครึ่ง โดยเฉพาะกฎหมายสำคัญที่จะเข้าพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร อาจเกิดความไม่เป็นเอกภาพหรืออาจมีการวัดกำลังส.ส.เกิดขึ้นอีก เกรงว่าจะทำให้กฎหมายไม่ผ่านสภาได้ โดยเมื่อวานนี้หลังประชุมศบค.ชุดใหญ่ ทำให้พลเอกประยุทธ์ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดารมว.มหาดไทยได้หารือร่วมกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯและที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ได้เข้าร่วมประชุมกรรมการบริหารพรรคฯ ถึงเรื่องนี้ทันที
โดยรัฐมนตรีหนึ่งในกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า “ต้องรอดูกันต่อไป นี่แค่เพียงยกแรกเท่านั้น เปรียบเหมือนการชกมวยมีหลายยก ให้โอกาสถึง 5 ยก สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร เชื่อว่า จะยังมีการปรับเปลี่ยนอีกแน่”
อย่างไรก็ตาม กระแสกองเชียร์ของพลเอกประยุทธ์ ออกมาโหมโรงไล่พลเอกประวิตร ร.อ.ธรรมนัส และนางนฤมลทันที ภายหลังรู้ว่าการประชุมกรรมการบริหารพรรคพปชร.ยังคงเป็นชุดเดิม โดยกองเชียร์ส่วนใหญ่ ออกมาแสดงความเห็นกันจำนวนมากว่าอยากให้พรรคพลังประชารัฐเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคใหม่ทั้งหมด เพราะหากหัวหน้าพรรคยังเป็นพลเอกประวิตร แนวทางนโยบายการทำงานของพรรคก็ยังคงเหมือนเดิม ในสนามเลือกตั้งครั้งหน้า กังวลกันว่าจะไปสู้หรือแข่งขันกับพรรคอื่นได้ยาก
นอกจากนี้ ยังมีการเสนอชื่อพลเอกประยุทธ์ให้มานั่งเป็นหัวหน้าพรรค แทนพลเอกประวิตร และปรับเปลี่ยนเลขาธิการ รวมถึงกรรมการบริหารพรรคใหม่ทั้งหมด และยังคงมีชื่อของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯรวมถึงนายสมศักดิ์ เทพสุทิน และ นายสันติ พร้อมพัฒน์ ที่มีข่าวถูกเสนอชื่อให้เป็นหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ คนใหม่ต่อจากนี้ …
“แอบนายโพสต์”