ในการพิจารณาร่างกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย ของคณะกรรมาธิการร่วมของรัฐสภา คือมีสมาชิกจากทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรมานั่งทำงานร่วมกัน
วานก่อนนี้ผมได้ขออภิปรายเปิดประเด็นใหม่เกี่ยวกับบางมาตราของร่างกฎหมายนี้
ซึ่งผมมองว่าน่าจะเป็นหนึ่งในหัวใจที่สำคัญที่สุดของการปฏิรูปกฏหมายในเรื่องนี้
ปรับเป็นพินัยนั้น คำว่าพินัยเป็นคำที่เคยใช้มาในยุคกรุงศรีอยุธยา ก่อนกฏหมายตราสามดวงยุคตั้งรัตนโกสินทร์โน่นทีเดียว
แปลว่าปรับเข้าแผ่นดินแหละ
แต่ปรับแบบเป็นพินัย ไม่ได้ถือเป็นการลงโทษลงทัณฑ์ อย่างปรับตามประมวลกฎหมายอาญาที่ผลิตออกมาในภายหลัง
การปรับเปลี่ยนโทษปรับทางอาญาในกฏหมายไทยนับร้อยๆฉบับให้’’ลดรูป’’ลงมาเป็นการปรับเป็นพินัย นั้น
แม้เงินค่าปรับยังตกเป็นของแผ่นดินเหมือนเดิม
แต่ที่จะเปลี่ยนไปคือ ผู้กระทำความผิดจนถูกปรับนั้นจะไม่ติดในประวัติอาชญากรรม เพราะโทษปรับเงินสถานเดียวนั้น มักจะใช้เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้กระทำผิดให้ใช้ความระมัดระวังมากขึ้น ไม่ใช่ความผิดที่ทางการถึงกับต้องเอาตัวไปกักขังแยกออกจากสังคมอยู่แล้ว
ถ้ากฏหมายไม่มองว่าเป็นเรื่องไม่คอขาดบาดตาย กฏหมายก็ย่อมจะเขียนว่าให้ทั้งจำและทั้งปรับ
ศาลจะพิจารณาสั่งเป็นอย่างอื่นหรือเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
อนึ่ง มีหลายกรณีในอดีต ที่แม้คนจนทำผิดเล็กน้อย มีเงินไม่พอจ่ายค่าปรับ กฏหมายไม่ได้เปิดทางเลือกอื่นนอกจากให้เอาตัวไปกักขังแทนค่าปรับ
ให้คำนวณวันขังว่าแทนวันละกี่บาทก็ว่ากันไปตามอัตราเงินเฟ้อเป็นช่วงๆ
แต่นี่เองที่ทำให้เกิดบรรยากาศที่เป็นความเหลื่อมล้ำจากวิธีปฏิบัติทางกฏหมาย
คนมีเงินจ่าย พอชำระค่าปรับแล้วรับใบเสร็จกลับบ้านได้ คดีเป็นอันเลิกไป (แม้จะบันทึกในประวัติอาชญากรรมแล้ว)
แต่คนยากจน เงินขาดมือ ในความผิดเดียวกันกลับถูกส่งเข้าห้องขัง และถูกบันทึกว่ามีประวัติอาชญากรรม และคดียังไม่นับว่าเลิกกันจนกว่าจะกักขังครบวันที่คำนวนแล้ว
ร่างกฏหมายนี้พัฒนามาจากคณะกรรมการพัฒนากฏหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งผมเองเคยร่วมนั่งเป็นกรรมการชุดนี้อยู่ด้วย ได้ยกร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยส่งไปผ่านคณะรัฐมนตรีแล้วเดินทางมาจนถึงที่ประชุมร่วมรัฐสภา
ในฐานะเป็นกฏหมายที่จำเป็นต่อการปฏิรูปประเทศ
จึงนับว่าเป็นกฏหมายที่สำคัญแน่นอน
ปรากฏว่ารัฐสภามีมติรับหลักการอย่างท่วมท้นและตั้งคณะกรรมาธิการร่วมสองสภาไปพิจารณารายมาตราต่อ
ที่ประชุมคณะกรรมาธิการมีมติตั้ง ศาสตราจารย์ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณเป็นประธานกรรมาธิการ
พร้อมทั้งตั้งผมเป็นรองประธานร่วมกับท่านผู้ใหญ่ที่มีอาวุโสทางกฏหมายและงานสภาอีกหลายท่าน
ร่างกฏหมายบอกว่าเมื่อผู้กระทำความผิดยอมรับแล้วว่าทำผิดและจะถูกปรับเป็นพินัย แต่จำเลยเองเป็นคนยากจนเหลือทนทาน ร่างกฎหมายบอกต่อไปทำนองว่าให้จำเลยร้องขอต่อศาลเพื่อขอลดค่าปรับ หรือขอไปทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะแทนก็ได้
(คำว่ายากจนเหลือทนทานนี้ก็ถูกเปลี่ยนเข้ามาแทนคำว่ายากจนแสนสาหัส โดยคณะกรรมาธิการนี้เช่นกันในสัปดาห์ก่อน เพราะสมาชิกในกรรมาธิการเห็นว่าเพื่อให้สอดคล้องและเป็นคำที่ประมวลกฏหมายอาญาก็ใช้อยู่แล้ว เป็นคำที่ปรากฏในพระราชบัญญัติอื่นเช่นกฏหมายต่อต้านการค้ามนุษย์อยู่แล้ว ดังนั้น เพื่อให้การตีความคำในกฏหมายไทยไม่ซับซ้อนลักลั่นกัน จึงให้แก้ไขคำจากคำว่า ยากจนข้นแค้น มาเป็นยากจนเหลือทนทานแทน : ท่านที่สนใจประเด็นนี้สามารถค้นอ่านจากข้อเขียนของท่านคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภาซึ่งเป็นกรรมาธิการที่มีบทบาทสำคัญอีกท่านในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้)
แต่คำนี้จะผ่านที่ประชุมรัฐสภาในวาระสามหรือไม่คงต้องรอถึงตอนนั้นอีกที
ประเด็นในบทความที่ผมบันทึกไว้คราวนี้ มาจาก การที่ร่างกฎหมายกำหนดเอาว่าให้ผู้กระทำความผิดที่เป็นคนยากจนเหลือทนทานที่ว่า ยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อให้พิจารณาสั่งลดอัตราค่าปรับหรือให้ไปทำงานสาธารณะประโยชน์ชดใช้แทนก็ได้
ซึ่งแปลว่าคนยากจนเหลือทนทานนี้ต้องร้องและยื่นเรื่องต่อศาลเอาเอง
ตรงนี้แหละ ที่ผมเห็นว่าน่าจะขอปรับแก้ให้ยืดหยุ่นเป็นมิตรแก่จำเลยผู้ยากจนเหลือทนทานเหล่านี้ให้มากขึ้นได้สิน่า
คนเราจะยากจนเหลือทนทานได้นั้นส่วนมากก็ด้วยสาเหตุด้านโครงสร้าง สาเหตุขาดโอกาส ขาดการศึกษา ขาดทักษะที่จำเป็นในการหางานทำ ขาดทรัพย์สินที่จะเริ่มต้นชีวิตอย่างเพียงพอ และได้ตกอยู่ในสภาพที่ใครมาตกอยู่ในภาวะเช่นนั้นก็คงจะเหลือทนได้แล้ว
แปลว่าต้องเดือดร้อนหนักกว่าความยากจนที่ข้นแค้นเสียด้วยซ้ำ และคงต้องนับว่าคงทุกข์เสียยิ่งกว่าคนยากจนแสนสาหัสเสียอีกด้วย
จึงน่าจะเป็นปกติที่คนจนเหล่านี้จะอ่อนด้อยในความรู้ อ่อนด้อยในข้อมูลและข้อกฏหมาย บางกรณีอาจมีความบกพร่องทางการอ่านเขียน การรับรู้ หรือการแสดงออกต่อคดีด้วย
การที่ร่างกฎหมายบัญญัติให้เขาต้องรู้จักรอบรู้จนจะยื่นคำร้องเอาเองนั้น
จึงน่าจะเป็นสิ่งที่เขาไม่น่าจะเข้าถึงโอกาสอย่างนั้นได้
เพราะเกินเขย่งไหว!
ดังนั้น ข้อเสนอที่ผมยกมือขออภิปรายไว้ในสัปดาห์ก่อนหน้าในห้องประชุมคณะกรรมาธิการคณะนี้จึงเกิดขึ้น และโชคดีที่ท่านประธานบวรศักดิ์ เห็นว่าเป็นประเด็น แต่เวลาการประชุมบ่ายนั้น หมดลงเสียก่อน
ท่านจึงให้บันทึกไว้
และให้นำมาพิจารณาอย่างละเอียดในรอบการประชุมในสัปดาห์นี้
ที่ประชุมรับฟังข้อเสนอของผมแล้วมีการอภิปรายทั้งเห็นพ้องและเห็นต่างอยู่เหมือนกัน
แต่เมื่อได้รับฟังกันไปพอประมาณแล้วก็สามารถได้ข้อยุติว่าควรแก้ไขให้เพิ่มอีกวรรคหนึ่งเติมขึ้นมา โดยฝ่ายสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาช่วยเสนอข้อความมาให้เพิ่มเป็นวรรคใหม่ และให้เอาหลักนี้ไปเติมใส่ในร่างมาตราอื่น ให้สอดรับกันไปด้วย
โดยวรรคใหม่ที่เติมมา บัญญัติให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องมีหน้าที่ช่วยยื่นเรื่องราวความยากจนเหลือทนทานของผู้กระทำความผิดให้ศาลทราบด้วย เมื่อความปรากฏเป็นที่ประจักษ์แก่เจ้าหน้าที่
ไม่ใช่แม้เจ้าหน้าที่รัฐรู้ว่าผู้กระทำความผิดยากจนเหลือทนทานแล้วก็อาจจะยื่นมือช่วยหรือไม่ช่วยทำความให้ประจักษ์แก่ศาลก็ได้
ดังนั้น เมื่อไปบวกกับความในวรรคถัดๆไปของร่างมาตรานี้ ซึ่งบัญญัติทำนองว่า เมื่อความประจักษ์แก่ศาลในตอนหนึ่งตอนใด ให้ศาลมีอำนาจสั่งลดอัตราค่าปรับ งดการปรับหรือจะสั่งให้จำเลยไปทำงานสาธารณะประโยชน์เป็นการทดแทนค่าปรับได้เอง
ประมวลเรื่องราวที่คณะกรรมาธิการได้ร่วมกันเสนอแนะติติงในเรื่องนี้แล้วก็คงนับว่าน่าจะช่วยให้สิทธิและโอกาสของคนยากจนที่ยอมรับว่าได้ทำผิดไปด้วยสภาพที่ยากจนเหลือทนทานไม่ถูกมองข้ามหลงลืมไปง่ายๆในคดี
ส่วนศาลจะให้ลดให้งดค่าปรับหรือไม่เป็นอีกเรื่องตามดุลยพินิจของศาลท่านซึ่งมีอิสระนะครับ
หากร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยได้กลับไปถึงห้องประชุมใหญ่ของรัฐสภาอีกครั้งกลางปีนี้
เราก็คงจะสามารถกล่าวได้ว่า รัฐไทย ได้พยายามปฏิรูปกฏหมายไปได้อีกหนึ่งประเด็น ที่นอกจากจะลดความเฝือความเฟ้อของการมีโทษทางอาญาในกฏหมายหลายร้อยฉบับลงแล้ว
ยังมีบทกฏหมายที่ช่วยเอื้อโอกาสแก่คนจนผู้เป็นจำเลยซึ่งรับสารภาพที่บังเอิญได้ทำความผิดอันมิใช่เรื่องฉกรรจ์ให้ไม่ต้องตกสภาพจำเป็น ต้องถูกกักขังแทนค่าปรับ ทั้งที่เขาก็ยากจนเหลือทนทานอยู่แต่เดิมแล้วเสียที
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
สมาชิกวุฒิสภา
รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภา พิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ.…