ตามที่ระเบียบวาระการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 8 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2) เป็นพิเศษวันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 กำหนดให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ….. ตามที่คณะรัฐมนตรีเสนอ เป็นวาระเร่งด่วน สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า
การนำร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวล พ.ศ…..เข้าสู่การพิจารณาในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาดังกล่าว เป็นการดำเนินการโดยรวบรัด ขาดการรับฟังความคิดเห็นอย่างทั่วถึง ครบถ้วน และรอบด้านจากทุกภาคส่วนของประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ที่มีหลายหลายประเภทแตกต่างตามช่องทางการเปิดรับสื่อที่เปลี่ยนแปลงรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ สาระสำคัญในจำนวนบทบัญญัติทั้ง 49 มาตรา ที่ปรากฏในร่างพระราชบัญญัติจริยธรรมวิชาชีพ พ.ศ.มุ่งหมายให้มีการจัดตั้งองค์กรชื่อ ‘สภาวิชาชีพสื่อมวลชน’ ขึ้นมาทำหน้าที่กำกับดูแลการประกอบวิชาชีพสื่อมวลซน และพิจารณาวินิจฉัยความถูกผิดของการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนว่า ขัดต่อจริยธรรมวิชาชีพหรือไม่
โดยมิได้ตระหนักถึงวิธีการเข้าสู่วิชาชีพสื่อมวลชนเปิดกว้างสำหรับทุกสาขาวิชาชีพอันมีลักษณะที่แตกต่างจากการออกกฎหมายเพื่อใช้กับการกำกับการประกอบวิชาชีพอื่นๆและอาจกลายเป็นเครื่องมือในการจำกัดสิทธิ เสรีภาพ ในการประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนโดยอ้างเหตุผลการกระทำที่ขัดต่อจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนได้ในอนาคต
ในระยะเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมา นักการเมืองและทหารที่เข้ามายึดอำนาจการปกครองประเทศ มีความมุ่งหมายที่จะใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการควบคุม กำกับการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนมาโดยตลอดไม่ต่ำกว่า 5 ฉบับ
โดยร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวให้อำนาจแก่คณะบุคคลที่มาจากกระบวนการสรรหาเข้ามาทำหน้าที่ควบคุมกำกับการใช้เสรีภาพของสื่อมวลชน ซึ่งหมายรวมถึงเสรีภาพของประชาชน อันเป็นแนวคิดที่สวนทางกับกระแสโลกและความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์สื่อในปัจจุบันที่รัฐไม่สามารถจำกัดช่องทางการสื่อสารของประชาชนได้อีกต่อไป
การจัดตั้งองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนดังกล่าวมีแต่จะสะท้อนถึงความล้าหลังในการนำกฎหมายมาจำกัดสิทธิ เสรีภาพของประชาชน และสื่อมวลชน ซึ่งจะนำมาซึ่งความสูญเปล่าของงบประมาณและการบริหารราชการแผ่นดิน
นอกจากนั้น ร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวมิได้มุ่งให้เกิดการคุ้มครองเสรีภาพของสื่อมวลชนที่ปฏิบัติหน้าที่ตามจริยธรรมวิซาชีพแต่อย่างใด ดังนั้นการจัดตั้งองค์การวิชาชีพสื่อมวลชนที่บัญญัติให้มีกระบวนการสรรหาแบบไทยๆ ที่นับวันจะสะท้อนให้เห็นการหนุนสร้างระบบอุปถัมภ์ที่ยึดโยงกับพวกพ้องในการเข้าสู่อำนาจและผลประโยชน์ดังที่เห็นอยู่ทั่วไปนั้น
หากสรรหาบุคคลที่ขาดความน่าเชื่อถือจากผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนหรือรับใช้อำนาจเข้ามาทำหน้าที่ตัดสินหรือรับรองความถูกผิดของการทำหน้าที่ตามจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนและความน่าเชื่อถือของข้อมูลข่าวสารแล้ว จะเป็นความเสี่ยงที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจเข้ามาควบคุมแทรกแชงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนโดยวิธีการต่างๆ ได้ในอนาคต ความพยายามจัดทำร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ… และผลักดันให้ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ด้วยข้ออ้าง ‘เพื่อเป็นหลักประกันความเป็นอิสระและเสรีภาพของผู้ประกอบวิชาซีพสื่อมวลชน’ ตามที่ปรากฏในเจตนารมย์ของการตราร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ อุปมาได้กับการ ‘สร้างภาพลวงตา’ ทั้งนั้น
ในปัจจุบันผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ไม่เพียงต้องปฏิบัติหน้าที่ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายกว่า 30 ฉบับ ทั้งกฎหมายอาญากฎหมายแพ่ง รวมทั้งกฎหมายอื่นๆที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะเท่านั้น แต่ยังถูกกำกับ และตรวจสอบอย่างเข้มข้นจากภาคประชาสังคม และประชาขน โดยไม่มีความจำเป็นใดๆ ทั้งสิ้นในการตราร่างพระราชบัญญัติส่งสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน
ด้วยเหตุผลที่กล่าวถึงข้างต้น สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จึงขอคัดค้านการดำเนินการใดๆเพื่อผลักดันร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนฉบับดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง ในทุกกรณี