‘บิ๊กโจ๊ก’ ฟ้อง ‘เศรษฐา’ ผิด ม.157 ลั่น ไม่ได้ท้ารบ แต่ปกป้องสิทธิ ปมแต่งตั้ง ‘บิ๊กต่อ’ เป็นผบ.ตร. โดยมิชอบ
วันนี้ 3 ก.ค.67 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. นำเอกสารจำนวน 4 แฟ้ม แบ่งเป็น 2 แฟ้มใหญ่ และ 2 แฟ้มเล็ก มายื่นให้กับ ป.ป.ช. โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า มายื่นกล่าวหา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็นผบ.ตร.โดยมิชอบ ตามมาตรา 157
ซึ่งก่อนหน้านี้ วันที่ 22 เม.ย.ตนเองได้มายื่นฟ้องไปแล้ว และถอนฟ้องในวันที่ 23 เม.ย. เนื่องจากในขณะนั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ได้มายื่นกล่าวหาไปแล้วครั้งหนึ่ง จึงไม่อยากให้เกิดความซ้ำซ้อน
แต่ล่าสุดทราบว่าท่านได้ถอนฟ้องไปแล้ว แต่ไม่ทราบเหตุผล ดังนั้น ตนเองในฐานะพยานผู้เสียหายโดยตรง จึงมายื่นฟ้องอีกครั้ง เพื่อจะได้เป็นผู้ติดตามผลและได้นำผลของการพิจารณาของ ป.ป.ช.มาชี้แจงกับประชาชน เพราะกรณีการแต่งตั้ง ผบ.ตร.โดยมิชอบนั้น ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เนื่องจากหลักเกณฑ์ต้องคำนึงถึง 2 ส่วน คือ ความอาวุโส และ มีความรู้ความสามารถในการป้องกันและปราบปราม แต่ขณะนั้นนายกฯให้เหตุผลการแต่งตั้งว่า เพื่อสามารถตอบสนองนโยบายรัฐบาลของรัฐบาลได้ และเป็นที่ไว้วางใจ ดังนั้น หากแต่งตั้งแบบนี้ ก็ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ขัดกับ พ.ร.บ.ตำรวจ
หากปฏิบัติตามเกณฑ์ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ เป็นผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่ง แล้วตนเองเป็นอาวุโสลำดับที่ 2 แต่มีการเสนอชื่ออันดับสุดท้ายมาเลย โดยไม่ไล่เรียงอันดับ1 2 3 ก่อน จึงถือเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตาม พรบ.ตำรวจ
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า แม้นายกฯจะมีอำนาจในการเสนอชื่อบุคคลใดเป็นแคนดิเดต แต่จะต้องชี้แจงเหตุผล หากจะไม่เอาเบอร์ 1 2 3 ว่าเป็นเพราะอะไร ไม่ใช่อยู่ ๆ ไปเอาเบอร์สุดท้ายมาเลย
ยืนยันว่า ตามกฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจไม่มีการให้คะแนน เพราะหากจะให้คะแนนประชาชนจะต้องเป็นคนให้คะแนน และถ้าจะไม่เอาหลักเกณฑ์ลำดับอาวุโส ต้องแก้กฎหมายใหม่ไปเลย ส่วน ก.ตร.ในขณะนั้นที่เห็นชอบแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ก็ต้องรับผิดชอบด้วย แต่มี 2 คนที่ไม่ได้ยกมือเห็นชอบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะกลับลำถอนฟ้องอีกหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ความผิดนี้เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ใครจะยื่นฟ้องก็ได้ แต่คนอื่นไม่ใช่ผู้เสียหาย ตนเองเป็นผู้เสียหายชัดเจน ดังนั้น อาญาแผ่นดินถอนฟ้องไม่ได้ ยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการท้ารบ แต่ทำไปตามกฎหมาย ไม่เช่นนั้นองค์กรจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่ยึดหลักกฎหมายแต่ไปสนองนโยบาย และการฟ้องครั้งนี้ไม่ได้จัดหนัก แต่การจะทำอะไรต้องคิดอย่างรอบคอบ
“การกล่าวหาไม่ได้โกรธส่วนตัวกับนายกฯ แต่เป็นการกระทำผิดในตำแหน่งนายกฯ ส่วนตนอาจจะได้กลับไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรืออาจจะถูกออกไปเลยก็ได้ ซึ่งก็ไม่เป็นไร แต่เป็นการทำเพื่อรักษาระเบียบข้อกฎหมายขององค์กร เพื่อให้องค์กรยังอยู่ได้ เพื่อคนรุ่นหลัง และไม่ได้เป็นการทำเพื่อตัวเอง และไม่ได้เป็นการไล่เช็คบิลใคร”พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุ
เมื่อถามว่า จะฟ้องใครเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ทั้งนายกฯ ที่จะต้องฟ้องเพิ่มกรณีการเซ็นให้ตนเองกลับไปยังสำนักงานตำแหน่งแห่งชาติ เรื่องเซ็นรับรองผลการประชุมก.ตร. คณะกรรมการ ก.ตร. รวมถึงกูรู พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จะต้องขอตรวจสอบจากรายละเอียดให้รอบคอบก่อน เพราะมีเอกสารหลายอย่าง แต่ยืนยันว่ามีการฟ้องอย่างแน่นอน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. กล่าวถึงกรณี นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางไปยังกองบังคับการปราบปรามเพื่อขอให้รื้อคดีลอบยิงรถยนต์ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เมื่อปี 2563 โดยระบุว่า เป็นห่วง กลัวบิ๊กโจ๊กถูกยิงตาย ว่าเรื่องนี้จบไปนานแล้ว ส่วนตัวรู้ว่าฝีมือใคร แต่พูดไม่ได้ เพราะจะไปเข้าความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งตอนนี้เวรกรรมกําลังตามทันคนที่ทํา
ยืนยันไม่กังวล หากกังวลคงไม่ออกมา อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้ดูที่นายอัจฉริยะออกมาพูดว่าเป็นห่วงตัวเอง ส่วนจะเป็นการแช่งหรือไม่นั้น ไม่ทราบ
เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ให้สัมภาษณ์ว่าหากตาย ยังไปเผาผีอยู่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จะพูดอะไรก็พูดไป ไม่ได้โต้แย้งตอบ ถ้าเข้าหมิ่นประมาทก็ดําเนินคดี แต่ถ้าพูดทํานองเสียดสีก็ไม่เป็นไรเมื่อถามว่า สุดท้ายแล้วจะสามารถกลับมาพูดคุยกันได้หรือไม่ เพราะเป็นพี่เป็นน้องกันทั้งนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตอบทันทีว่า ก็ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวดู ตอนนี้ก็ดําเนินคดีไปก่อน