นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังหารือกับ อิชิอิ เคตะ (Ishii Keita) ประธานหอการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (Japan Chamber of Commerce and Industry: JCCI) และคณะผู้บริหารบริษัทญี่ปุ่น ได้แก่ ITOCHU Cooperation, Kawasaki Heavy Industries (Thailand) Co., Ltd., Sumitomo Corporation Thailand Ltd., Knowledge Creation Technology Co., Ltd., Japan Airlines Co., Ltd. และ Toyota Tsusho (Thailand) Co., Ltd.
นายพิชัย กล่าวว่า ไทยและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าที่ดีมาโดยตลอด ซึ่งญี่ปุ่นถือเป็นประเทศพันธมิตรทางการค้าที่สำคัญของไทย มีการลงทุนสะสมในไทยมากเป็นอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วนการลงทุน 1 ใน 4 ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด มีบริษัทญี่ปุ่นลงทุนในไทยเกือบ 6,000 บริษัท พร้อมชักชวนนักลงทุนญี่ปุ่นมาลงทุนธุรกิจ เป็นฐานการผลิตในห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของญี่ปุ่น เช่น แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ ดิจิทัล AI โดยไทยมีศักยภาพในการผลิตชิ้นส่วนที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงได้
นอกจากนี้ ไทยยังมีความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางความมั่งคงทางอาหาร (Food Security Hub) โดยเป็นคลังสินค้าและส่งออกอาหารให้กับทุกประเทศที่ต้องการรวมถึงญี่ปุ่น ซึ่งผู้บริหารบริษัทของญี่ปุ่นพร้อมสนับสนุนภาคเอกชนของญี่ปุ่นให้เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น รวมถึงสาขาอื่น ๆ ที่อยู่ในแผนการขยายการลงทุนในไทยของคณะฯ เช่น ไฮโดรเจน พลังงานสีเขียว ธุรกิจบริการ
ทั้งนี้ JCCI เป็นองค์กรทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ประกอบด้วยสภาท้องถิ่น 515 แห่ง มีสมาชิกทั่วโลกกว่า 1.25 ล้านราย ตั้งแต่บริษัทขนาดใหญ่ไปจนถึงขนาดเล็กและขนาดกลาง คิดเป็น 1 ใน 3 ของบริษัททั้งหมดในญี่ปุ่น โดยประเทศญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในพันธมิตรทางการค้าที่สำคัญยิ่งของไทยด้วยขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก และเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของไทย
ในปี 2566 ไทยและญี่ปุ่นมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 55,861 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นการส่งออกจากไทยไปญี่ปุ่น 24,670 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไก่แปรรูป เครื่องจักร แผงวงจรไฟฟ้า และการนำเข้าของไทยจากญี่ปุ่นมูลค่า 31,191 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญของไทย ได้แก่ เครื่องจักรกล เหล็ก เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า