“มงคล” นำสว. เรียกร้อง “รัฐบาล” เปิดประชุมรัฐสภาวิสามัญ ชี้แจงข้อพิพาทไทย-กัมพูชา แนะเร่งแก้ปัญหา-เหตุการณ์เปลี่ยนทุกวัน
วันที่ 9 มิ.ย.2568 เวลา 08.30 น.ที่อาคารรัฐสภา นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิป วุฒิสภา) เพื่อกำหนดท่าทีและบทบาทของวุฒิสภาในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดนรประเทศไทย-กัมพูชา
โดยมีพล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภาคนที่สอง พร้อมด้วยนายจำลอง อนันตสุข สว.สุพรรณบุรี พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว.สุโขทัย นายอลงกต วรกี พล.ต.อ.กอบ อัจนากิตติ นายวุฒิชาติ กัลยานมิตร นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงษ์ และบรรดาสมาชิกวุฒิสภา เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง
ภายหลังการประชุมเสร็จสิ้น เมื่อเวลา 09.30 น. นายมงคล ได้อ่านแถลงการณ์ของคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา เรื่อง ขอให้คณะรัฐมนตรีเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเกี่ยวกับปัญหาข้อพิพาทเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา
ตามที่ได้เกิดสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดน ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 จนถึงปัจจุบัน สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ข้อมูลที่ปรากฏเป็นข่าวทางสื่อมวลชนตามการให้สัมภาษณ์ของฝ่ายบริหารยังไม่มีความชัดเจนถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมกับสถานการณ์ อาจก่อให้เกิดความวิตกกังวลในหมู่พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ทั้งผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตยของประเทศ และการรักษาผลประโยชน์ของชาติ โดยเฉพาะกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีกำลังทหารของกัมพูชาได้รุกล้ำเข้ามาบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เป็นระยะทางถึง 200 เมตร พร้อมทั้งขุดแนวคูเลตในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ในราชอาณาจักรไทย และถึงแม้ว่าขณะนี้ จะมีสัญญาณที่ดีที่ฝ่ายกัมพูชายินยอมถอนกำลังทหารกลับออกไป แต่ยังเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในระดับพื้นที่มิใช่การแก้ไขปัญหาระยะยาวอย่างถาวร จึงเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป และขอขอบคุณทหารไทยทุกเหล่าทัพ รวมถึงตำรวจและฝ่ายปกครองที่ได้แสดงจุดยืนในการรักษาอำนาจอธิปไตยภายใต้การเจรจาอย่างสันติ ทำให้สถานการณ์เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
เมื่อพิจารณาถึงหน้าที่ของรัฐ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวด 5 มาตรา 52 วรรคหนึ่ง ว่า“รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน” แล้ว วุฒิสภาในฐานะที่เป็นองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ และมีสมาชิกวุฒิสภาเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยเช่นเดียวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงตระหนักถึงหน้าที่ความรับผิดชอบ และขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติและธำรงไว้ซึ่งอธิปไตยเหนือผืนแผ่นดินไทย
วุฒิสภาตระหนักถึงแนวทางในการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาทโดยสันติวิธี แต่ทั้งนี้ต้องยืนอยู่บนหลักการแห่งความเคารพซึ่งกันและกัน รวมทั้งปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจและเท่าเทียมกันในฐานะมิตรประเทศ
เพื่อการนี้วุฒิสภาจึงขอเรียกร้องไปยังรัฐบาล ให้ปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญอย่างเข้มแข็ง เพื่อรักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิของประเทศ โดยรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย และขอให้รัฐบาลได้ยืนหยัดในการสงวนสิทธิไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice : ICJ) ในกรณีที่มีข้อพิพาทตามสัญญาระหว่างประเทศ ตามนัยแห่งมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 ซึ่งกำหนดเป็นหลักการให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่า ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดทำหนังสือสัญญา ซึ่งมีข้อบทให้อำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) มีเขตอำนาจเหนือข้อพิพาทตามหนังสือสัญญานั้น ให้จัดทำข้อสงวนไม่รับอำนาจของศาลยุติธรรม
ระหว่างประเทศไว้ทุกเรื่อง เพื่อมิให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ
พร้อมกันนี้ วุฒิสภาขอเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารให้ดำเนินการกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 122 ประกอบมาตรา 175 เพื่อที่คณะรัฐมนตรีจะได้ดำเนินการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ตามมาตรา 165 ที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรจะฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา นายกรัฐมนตรีจะแจ้งไปยังประธานรัฐสภาขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา…” ทั้งนี้ เพื่อให้ฝ่ายบริหารได้แถลงข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทยกับกัมพูชาต่อประชาชนทั้งประเทศ รวมทั้งสาเหตุของปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว ตลอดจนเพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทย ได้ร่วมกันเสนอแนวคิดและแนวทางในการคลี่คลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้รัฐบาลได้นำไปเป็นข้อพิจารณาประกอบการตัดสินใจ ซึ่งต้องกระทำอย่างเร่งด่วน เนื่องจากสถานการณ์ในขณะนี้ไม่สามารถรอให้ถึงวันเปิดสมัยประชุมสามัญประจำปี ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 ได้ การเปิดประชุมร่วมกันของรัฐสภาในห้วงเวลานี้จะเป็นเวทีหลอมรวมพลังของคนในชาติผ่านผู้แทนปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ และทุกสาขาอาชีพ เป็นการเสริมพลังของประเทศ
อีกทั้งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมในการผนึกกำลังเพื่อร่วมกันแก้ไขวิกฤตที่เกิดขึ้นในทุกมิติ อันจะเป็นแรงผลักดันและสนับสนุนรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา ตามแนวทางสันติวิธีพร้อมกับการรักษาเกียรติภูมิของประเทศในเวลาเดียวกัน
แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 123 วรรคหนึ่ง จะบัญญัติว่า“สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาทั้งสองสภารวมกัน หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาให้นําความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการประกาศเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญได้” ก็ตาม แต่การที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีจะเป็นฝ่ายริเริ่มดำเนินการในเรื่องดังกล่าวจะมีความเหมาะสมและมีความสง่างามในเชิงสถาบันในฐานะที่เป็นองค์กรผู้บริหารราชการแผ่นดินในเรื่องนี้โดยตรง รวมทั้งเป็นการแสดงความกล้าหาญ อันเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อสาธารณชนว่า รัฐบาลมิได้เพิกเฉยหรือปัดความรับผิดชอบ แต่พร้อมเผชิญหน้าและดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาผ่านกลไกรัฐสภาบนพื้นฐานของความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของประชาชนและผู้แทนปวงชนชาวไทย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ในโอกาสเดียวกันนี้ วุฒิสภาขอส่งกำลังใจไปยังข้าราชการทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่พิพาท ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญ เสียสละและเข้มแข็ง เพื่อรักษาเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของประเทศ ในการรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดนและรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
พร้อมทั้งขอส่งกำลังใจไปให้พี่น้องประชาชนชาวไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณแนวชายแดนไทยกับกัมพูชา ให้มีขวัญและกำลังใจที่เข้มแข็ง และเชื่อมั่นว่า ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติให้คงอยู่สืบไป
ด้วยความศรัทธาและเชื่อมั่น “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด” นายมงคล กล่าว.
เมื่อถามว่ามีการกำหนดกรอบเวลาการพิจารณาของรัฐบาลได้หรือไม่ นายมงคล กล่าวว่า หากเป็นไปได้โดยเร็วที่สุดก็ยิ่งดี เราเป็นพลังหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้รัฐบาลได้มีความมั่นใจ มั่นคงว่า คนไทยทุกคนพร้อมที่จะร่วมมือร่วมใจกับรัฐบาล ในการรักษาประโยชน์และอำนาจอธิปไตยของประเทศไทย
เมื่อถามว่า ขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หลังเกิดการปรับกำลังพลออกจากพื้นที่ ฝั่งประเทศไทยยังวางใจได้หรือไม่ นายมงคล กล่าวว่า เป็นเพียงสถานการณ์เฉพาะพื้นที่ แต่ในหลักการจริงๆ แล้ว ยังไม่มีความชัดเจน จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะลงพื้นที่ไปรับฟังความคิดเห็น ไปสร้างความอบอุ่นใจให้กับประชาชน
เมื่อถามว่าวุฒิสภาจะมีข้อเรียกร้องอย่างไร ถึงแนวทางการปฏิบัติของรัฐบาล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคตอีก นายมงคล กล่าวว่า เราจะใช้การปรึกษาหารือ เป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน เพราะนี่คือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ซึ่งเราในฐานะที่เป็นองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
เมื่อถามว่าคาดหวังที่จะให้มีการเปิดประชุมโดยเร็วที่สุด จะต้องเป็นภายในสัปดาห์นี้ หรือสัปดาห์หน้าหรือไม่ นายมงคล กล่าวว่า เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องพิจารณา
เมื่อถามว่ามองการจัดการสถานการณ์ในฝั่งไทยขณะนี้อย่างไร นายมงคล กล่าวเชื่อว่า ในการทำงาน โดยเฉพาะความชัดเจนจากฝ่ายความมั่นคง และผู้ปฏิบัติในพื้นที่มีความชัดเจน ซึ่งส่งผลให้การตัดสินใจของฝ่ายบริหารสามารถทำได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น
เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่าฝ่ายหน้างาน ปฏิบัติงานได้ดีกว่า ฝ่ายรัฐบาลที่จะต้องตัดสินใจ ใช่หรือไม่ นายมงคล ปฏิเสธว่า ไม่ใช่ ไม่ได้คิดเช่นนั้น ทุกฝ่ายร่วมมือกัน ปรึกษาหารือกัน
เมื่อถามว่า หากมีการเปิดสมัยประชุม นอกจากเรื่องข้อพิพาทนี้ จะมีการประชุมเรื่องอื่นด้วยหรือไม่ เช่น พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล นายมงคล กล่าวว่า ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ประเทศชาติและประชาชน เป็นบูรณภาพของดินแดนไทย ซึ่งคนไทยทุกคนต้องพึงรักษาไว้ เราต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย สนับสนุนซึ่งกันและกัน
เมื่อถามว่า การเรียกร้องให้เปิดสมัยประชุม เป็นเพราะไม่ไว้วางใจการเจรจาของฝ่ายรัฐบาลใช่หรือไม่ เนื่องจากยังมีเรื่องความใกล้ชิดของตระกูลชินวัตร และผู้นำของฝ่ายกัมพูชา นายมงคล กล่าวว่า เป็นคนละประเด็นกัน แต่เราเชื่อว่าคนไทยทุกคนรักบ้านรักเมือง ทุกคนรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ
เมื่อถามว่าหากไม่มีการเปิดสมัยประชุมจะมีการทำอย่างไรต่อไป นายมงคล กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันไป แล้วแต่สถานการณ์ เป็นดุลพินิจของรัฐบาล หากสามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง ก็อาจจะไม่ต้อง เพราะสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป อะไรๆ ก็เปลี่ยนได้
สำหรับข้อเสนอที่อยากให้สั่งไทยตัดไฟ ตัดท่อน้ำเลี้ยงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ วุฒิสภาเห็นด้วยหรือไม่ นายมงคล กล่าวว่า เป็นเรื่องของหน้างาน และผลของการเจรจา เราไม่ได้สนับสนุน แต่ต้องการทำภายใต้หลักเหตุ และผล ทุกเรื่องมีเหตุมีผลของมันเอง เราคิดแค่ว่า คนไทยทุกคนพร้อมที่จะสนับสนุนรวมใจกันเป็นหนึ่ง เพื่อสร้างความสงบสุขภายใต้พื้นฐานของการไม่ใช้ความรุนแรง อยู่ภายใต้ความรัก ความสามัคคี และผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
เมื่อถามถึงการตรวจสอบเรื่องฮั้ว สว. นายมงคล กล่าวว่า นั่นไม่ใช่เรื่องที่เราจะแถลงในวันนี้ ตอนนี้ยังไม่ขอออกความเห็น