‘มาริษ‘ เชิญทูต-องค์กรนานาชาติกว่า 74 ประเทศ เข้าฟังสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ย้ำจุดยืนไทยไม่ได้เริ่มต้นความขัดแย้ง พร้อมเรียกร้องกัมพูชาหยุดสงครามข่าวสาร
วันนี้ (4 ส.ค. 68) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และนางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ณ กระทรวงการต่างประเทศ
สำหรับการบรรยายสรุปวันนี้ มีคณะทูต 127 คน จาก 74 ประเทศ และ 16 องค์กรระหว่างประเทศ เข้าร่วม ประกอบด้วย เอกอัครราชทูต 28 คนจาก 27 ประเทศ 1 องค์กร อุปทูตรักษาการชั่วคราว 18 คน 18 ประเทศ ผู้แทนจากสถานเอกอัคคราชทูต 53 คนจาก 49 ประเทศ 1 องค์กร ผู้แทนจากสถานกงสุลใหญ่อาชีพ 1 คน 1 ประเทศ และองค์การระหว่างประเทศ 21 คน จาก 16 องค์การ
นายมาริษ กล่าวในช่วงต้นของที่ประชุมว่าจุดประสงค์ของการบรรยายนี้ เพราะสรุปสถานการณ์และจุดยืนของประเทศไทย ชี้แจงข้อเท็จจริงถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดน และท่าทีของไทยในการจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรกเป็นการเจรจาข้อตกลงหยุดยิงที่มาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 ก.ค.68 และท่าทีของไทยในการประท้วงการใช้ความรุนแรงและการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ สิทธิมนุษยชน ซึ่งเกิดขึ้นจากฝ่ายกัมพูชา รวมถึงการโจมตีเป้าหมายแบบไม่เลือกที่เกิดขึ้นกับพลเรือน และการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งขัดต่อหลักการของอนุสัญญาออตตาวา
สำหรับการประชุมที่ประเทศมาเลเซียที่ผ่านมา เกิดขึ้นโดยที่ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันในการหยุดยิง และลดระดับ โดยมีการสังเกตการณ์จากจีนและสหรัฐอเมริกา พร้อมย้ำว่าประเทศไทยปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงยิงอย่างเคร่งครัด และคาดหวังว่ากัมพูชาจะจริงใจและมีความสุจริตใจ เพื่อให้การหารือของทั้งสองประเทศดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจากการหารือกัมพูชาก็ยืนยันว่าจะร่วมแก้ไขปัญหาระหว่างกัน กลับมาอยู่ภายใต้กรอบกลไกทวิภาคี ซึ่งเป็นสิ่งที่เราพยายามเรียกร้อง
ขณะที่การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งกลไกในการเจรจาในการลดความตึงเครียดระหว่างกัน โดยเป็นการวางกลไกการประชุมในระดับนโยบาย และจะเป็นการคุยกันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมทั้งสองประเทศ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อลงรายละเอียดต่าง ๆ ตนเองเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในการป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกันมากยิ่งขึ้น ประเทศไทยและกัมพูชาสามารถทำงานระหว่างกันได้ โดยมีผู้ร่วมสังเกตการณ์จากอาเซียน จีนและสหรัฐอเมริกา
ไทยยังยินดีหากมีการสนับสนุนจากมิตรประเทศ ขอใช้โอกาสนี้ในการย้ำอีกครั้งว่ากลไกทวิภาคีระหว่างเรา เป็นกลไกที่ดีและมีร่วมกัน ไทยไม่ยอมรับอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และจะใช้กลไกที่ทวิภาคีที่มีอยู่แล้ว หาทางออกร่วมกัน เรายืนยันในสันติภาพ กฎบัตรอาเซียนและกฎบัตรสหประชาชาติ และขอเรียกร้องให้กัมพูชายึดหลักการ ในการเจรจาแก้ไขปัญหาอย่างสันติและจริงใจระหว่างกัน และขอให้ยับยั้งการโจมตีด้วยข้อมูลอันบิดเบือน รวมถึงหยุดดำเนินการกระทำสงครามข้อมูลข่าวสาร สุดท้าย ซึ่งมีความสำคัญยิ่ง การปะทะกันที่เกิดขึ้น เราไม่ได้เริ่มต้นความขัดแย้ง การยกระดับ ไม่ใช่สิ่งที่ประเทศไทยต้องการให้เกิดขึ้น