ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยเตรียมจัดงาน “สัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 43” ระหว่างวันที่ 21–23 พ.ย. 2568 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา ภายใต้แนวคิด “Unlocking New Growth: ศักยภาพใหม่แห่งการเติบโต” ซึ่งถือเป็นเวทีสำคัญในการระดมเครือข่ายภาคเอกชนจากทั่วประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เสนอแนวนโยบาย และร่วมกันกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทย

โดยตลอดระยะเวลาของการจัดสัมมนา คาดว่าจะมีผู้นำองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทั่วประเทศ เข้าร่วมประกอบด้วย คณะกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าจังหวัด กลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารจากกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านเศรษฐกิจ มากกว่า 1,200 คน
ทั้งนี้ หอการค้าไทย ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจ ภาครัฐ และภาคประชาสังคม เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้สอดรับกับบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ภายใต้เป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึง จึงได้ระดมความคิดเห็นจากเครือข่ายหอการค้าทั่วประเทศ และจัดทำเป็น “สมุดปกขาวหอการค้าไทย ปี 2568 เพื่อใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้เกียรติเป็นผู้รับมอบ ในวันอาทิตย์ที่ 23 พ.ย.2568 เพื่อพิจารณาใช้เป็นแนวทางการกำหนดยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

“ข้อเสนอเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยที่ครอบคลุมทั้งเศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจมหภาคตามที่เคยเสนอไปที่นายกฯมาที่หอการค้าก่อนรับตำแหน่ง โดยมุ่งเน้นการปลดล็อกศักยภาพใหม่ในทุกภาคส่วน ทั้งด้านการค้า การลงทุน เกษตรและอาหาร การท่องเที่ยว พลังงาน และเทคโนโลยี พร้อมนำเสนอต่อภาครัฐ”ดร.พจน์ กล่าว
สำหรับกิจกรรมที่น่าสนใจภายในงาน ประกอบด้วย การบรรยายและเสวนาจากผู้นำเศรษฐกิจระดับประเทศ อาทิ การบรรยายพิเศษ เรื่อง “Unlocking growth in CHALLENGING time: ภารกิจพลิกเศรษฐกิจไทย” โดย ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, การบรรยายพิเศษ เรื่อง “Unlocking Economic Vision: วิสัยทัศน์การคลัง” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่อนาคต โดย ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นต้น นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมไฮไลท์ การประกาศรางวัลประจำปีเชิดชูการทำงานของภาครัฐและเอกชน ได้แก่ รางวัลผู้ว่าราชการจังหวัด “สำเภาทอง” ประจำปี 2568, รางวัลหอการค้ายอดเยี่ยม และรางวัลนักธุรกิจสตรีดีเด่น ประจำปี 2568 ซึ่งงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ เป็นเวทีที่แสดงให้เห็นถึงพลังของภาคเอกชนไทยที่พร้อมจะร่วมมือกับภาครัฐ และหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและปลดล็อกศักยภาพใหม่ให้ประเทศไทยก้าวสู่ยุคแห่งการเติบโตอย่างยั่งยืน
นายวิทยา จันทน์เสนะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวว่า จังหวัดมีความพร้อมอย่างเต็มที่ทั้งด้านสถานที่จัดงาน ระบบรักษาความปลอดภัย การคมนาคม การอำนวยความสะดวก การต้อนรับตามวิถีพหุวัฒนธรรม อาหารพื้นถิ่นขึ้นชื่อ และแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงาม ซึ่งล้วนสะท้อนศักยภาพของสงขลาในฐานะศูนย์กลางการค้าชายแดนและประตูสู่ประเทศเพื่อนบ้าน

ทั้งนี้ จังหวัดสงขลาได้ขับเคลื่อนโครงการสำคัญเพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ เช่น การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกสงขลา รถไฟรางคู่หาดใหญ่–ปาดังเบซาร์ และเมืองท่าเรือสำราญคาบสมุทรสทิงพระ รวมถึงการยกระดับทักษะแรงงานในพื้นที่ชายแดน 4 อำเภอ (จะนะ นาทวี เทพา สะบ้าย้อย) เพื่อสร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคง ทั้งนี้ จังหวัดสงขลาพร้อมเปิดบ้านต้อนรับผู้ประกอบการ นักธุรกิจ และสื่อมวลชนจากทั่วประเทศ ให้มาร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดและร่วมกันกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทย พร้อมสัมผัสเสน่ห์ของเมืองพหุวัฒนธรรมที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยโอกาสแห่งการเติบโต
นายทรงพล จังศิริวัฒนธำรง ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา กล่าวว่า หอการค้าจังหวัดสงขลามีความพร้อมเต็มที่ในการเป็นเจ้าภาพจัดงาน “สัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 43” โดยจังหวัดสงขลาเคยได้ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว และนับเป็นโอกาสดีในการแสดงศักยภาพของจังหวัดสงขลาในฐานะเมืองเศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้ และเป็นจังหวัดที่ได้รับการประกาศให้เป็น MICE City ของประเทศ
รวมถึงเป็นสมาชิกเครือข่าย UNESCO Creative City Network ด้าน Gastronomy แห่งแรกของภาคใต้ สะท้อนความพร้อมของสงขลาในการรองรับงานประชุมระดับประเทศและกิจกรรมสร้างสรรค์ทางเศรษฐกิจ โดยภายในงานจะมีการนำเสนอเมนูอาหารพื้นถิ่นชื่อดัง เช่น ไก่ทอดหาดใหญ่ ข้าวมันไก่ ยำสาหร่าย มะม่วงเบาแช่อิ่ม เต้าคั่ว มันเดือย และอีกหลากหลายเมนู เพื่อโชว์เอกลักษณ์ความเป็น “เมืองแห่งรสชาติ” ของสงขลา พร้อมเปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวเชื่อมโยงเส้นทาง “หาดใหญ่–เมืองเก่าสงขลา” ซึ่งอยู่ในบัญชี Tentative List ของเมืองมรดกโลกยูเนสโก รวมถึงเส้นทาง “สายศรัทธาหลวงปู่ทวด สทิงพระ” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในพื้นที่
นอกจากนี้ ยังมี “โซนของดีจังหวัดสงขลา” แสดงสินค้าคุณภาพจากผู้ประกอบการท้องถิ่นและเครือข่ายผู้ประกอบการรุ่นใหม่ YEC ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้เกิดเม็ดเงินสะพัดในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เติบโตอย่างยั่งยืน






















