น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่าน blockdit ส่วนตัว “ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย” ว่าองค์การอนามัยโลกได้ประกาศอย่างเป็นทางการให้ไวรัสกลายพันธุ์ตัวใหม่ B.1.1.529 ซึ่งพบครั้งแรกในประเทศแอฟริกาใต้ เป็นกลุ่มที่มีความรุนแรงสูงสุดหรือกลุ่มน่ากังวล (VOC : Variant of Concern)และตรวจพบว่ามีการกลายพันธุ์ในตำแหน่งหนามมากถึง 32 ตำแหน่งในขณะที่ไวรัสสายพันธุ์เดลต้า กลายพันธุ์ที่ส่วนหนามเพียง 9 ตำแหน่ง ทำให้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอไมครอนมีการเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมที่ตำแหน่งหนามมากกว่าเดลต้าถึง 3.5 เท่า
วันนี้ (28 พฤศจิกายน 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีโรคโควิด-19 (EOC) ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศ และข้อมูลการกลายพันธุ์ของสายพันธุ์โอไมครอนในทวีปแอฟริกาโดยสั่งการให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และกรมควบคุมโรค ติดตามเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งสื่อสารข้อมูลให้ประชาชนรับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความวิตกกังวลและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวว่า ในการรับมือกับโรคโควิด 19 ได้กำชับให้ทุกจังหวัดกำกับติดตามมาตรการ VUCA คือ การฉีดวัคซีน การป้องกันตนเองขั้นสูงสุด การทำพื้นที่ปลอดภัยจากโควิดและการตรวจคัดกรองด้วย ATK โดยเน้นเฝ้าระวังตรวจจับการระบาดในชุมชน/ชุมชนที่มีแรงงานต่างด้าว เร่งฉีดวัคซีนกลุ่ม 608 ให้ครอบคลุมเพิ่มขึ้น ทั้งในโรงพยาบาล เช่น คลินิกโรคเรื้อรัง,คลินิกฝากครรภ์ และนอกโรงพยาบาล เช่น ศูนย์ดูแลผู้สูงวัย-กลุ่มเปราะบาง จุดลงทะเบียนแรงงานต่างด้าว หน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมทั้งในชุมชน และสื่อสารให้ประชาชนใช้มาตรการป้องกันตนเองสูงสุด (Universal Prevention) ทุกที่ ทุกเวลา
“ขณะนี้ยังไม่พบสายพันธุ์โอไมครอนในไทย และเราได้ปรับมาตรการคัดกรองป้องกันให้รัดกุมยิ่งขึ้น จึงขอให้ประชาชนคลายความกังวล และติดตามข้อมูลข่าวสารจากรัฐบาล ผู้เชี่ยวชาญจากราชวิทยาลัยทางการแพทย์ และกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ มาตรการ Universal Prevention ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันโควิด 19 ได้ทุกสายพันธุ์ ขอให้ประชาชนปฏิบัติเป็นปกติวิสัย ในระยะนี้ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารร่วมกัน สวมหน้ากากตลอดเวลา เว้นระยะห่าง ลดการสัมผัสกัน ถ้าป่วยมีอาการทางเดินหายใจ หรือมีความเสี่ยงสงสัยติดเชื้อให้ตรวจด้วย ATK หรือไปตรวจที่สถานพยาบาล” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว
สำหรับจำนวนผู้เดินทางเข้าไทยทางอากาศ ตั้งแต่วันที่ 1-27 พฤศจิกายน 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 116,323 ราย พบติดเชื้อ 149 ราย คิดเป็น 0.13% เฉพาะวานนี้ (27 พฤศจิกายน) เดินทางเข้ามา 6,115 ราย พบผู้ติดเชื้อ 5 ราย ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อทุกรายถูกส่งเข้าระบบการรักษาพยาบาลและส่งตรวจหาสายพันธุ์เพื่อการเฝ้าระวัง โดย 10 ประเทศที่มีผู้เดินทางเข้ามามากที่สุดคือ USA เยอรมันนี เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น รัสเซีย เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส UAE และสิงคโปร์
CAAT ประกาศห้ามผู้โดยสารจาก 8 ประเทศเสี่ยง เข้าไทย สกัดเชื้อโควิด “โอไมครอน”
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ออกประกาศนักบิน (NOTAM) แจ้งสายการบินทั่วโลกถึงมาตรการป้องกันการขนส่งผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” เข้ามาระบาดในประเทศไทย โดยประเทศไทยจะมีข้อกำหนดสำหรับผู้โดยสารที่เดินทางมาจาก 8 ประเทศ ได้แก่ Botswana/ Eswatini/ Lesotho/ Malawi/ Mozambique/ Namibia/ South Africa และ Zimbabwe ดังนี้
1) หากผู้โดยสารได้เดินทางมาถึงไทย ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2564 (00.01 น.) จนกระทั่งถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 (23.59 น.) จะต้องเข้ากระบวนการกักตัว (Quarantine) 14 วันทันที ไม่มีข้อยกเว้นไม่ว่าจะได้รับการอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศมาในรูปแบบใด
2) ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป ห้ามผู้โดยสารจาก 8 ประเทศเหล่านี้เข้าประเทศไทย แม้ว่าจะได้รับอนุญาตผ่านระบบ Thailand Pass แล้ว และการอนุญาตทั้งหมดจะสิ้นสภาพตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป
3) ปัจจุบันระบบ Thailand Pass ไม่ให้บริการขออนุญาตจากผู้ที่จะเดินทางจากประเทศเหล่านี้แล้ว
สำหรับประเทศในทวีปแอฟริกาอื่น ๆ จะสามารถเดินทางเข้าไทยได้ตามการอนุญาตที่ได้รับจนถึงวันที่ 14 ธันวาคม 2564 และตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคมเป็นต้นไป หากเดินทางเข้ามาจะต้องเข้ากระบวนการกักตัว (Quarantine) 14 วัน ไม่ว่าจะได้รับการอนุญาตให้เข้าประเทศไทยมาในรูปแบบใดก็ตาม
ทั้งนี้ กำชับให้สายการบินทุกสายช่วยตรวจสอบกลั่นกรองและเฝ้าระวังเป็นกรณีพิเศษ หากทราบว่ามีผู้โดยสารเดินทางมาจากทั้ง 8 ประเทศนี้แม้ว่าจะได้รับการอนุญาตผ่านระบบ Thailand Pass โดยแจ้งว่าได้ลงทะเบียนมาจากประเทศอื่น ขอให้แจ้งผู้โดยสารให้ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวด้วย