“อนุชา” ลงโคราช พบสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน เยี่ยมชมผลผลิตวัวพันธุ์ไทยยอดนิยม “โคราชวากิว” ชี้คุณภาพวัวไทยเป็นที่ต้องการในตลาดโลก ย้ำ “โครงการโคล้านครอบครัว” มาถูกทาง จากโคต้นน้ำเตรียมพัฒนาสู่โคกลางน้ำ
วันนี้ (30 เมษายน 2566) เวลา 13.00 น. ณ ฟาร์มมหาวิทยาลัยโนโลยีสุรนารี (ฟาร์มโคเนื้อวากิว) ตำบลสุรนารี อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) เป็นประธานเปิดงาน “สร้างเศรษฐกิจฐานราก สร้างชาติมั่นคง” ภายใต้โครงการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก เพื่อการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน โดยมี นายศุภนิมิต เปาริก รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นายเบญจพล นาคประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ นายธัชชญาณ์ณัช เจียรธนัทกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ สมาชิกกองทุนหมู่บ้าน ฯ และสื่อมวลชนร่วมงาน
นายอนุชา กล่าวว่า การลงพื้นที่มาดูผลผลิตวัวพันธุ์ไทยยอดนิยม “โคราชวากิว” รู้สึกดีใจแทนเกษตรกรผู้เลี้ยงวัว ได้เห็นถึงอนาคตของลูกหลายผู้เลี้ยงวัว ที่จะมีโอกาสร่ำรวยจากการเลี้ยงวัว ไม่ต้องเดินทางไปทำงานต่างถิ่น โดยเฉพาะพี่น้องภาคอีสาน ซึ่งมีพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการเลี้ยงโค และวันนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ประเทศไทยจะมีอาคารปฎิบัติการชำแหละและตัดแต่งเนื้อโคมาตรฐาน GMP และฮาลาลเพื่อการส่งออก ที่ได้มาตรฐานแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งอยู่ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ถือเป็นสถานที่ในการวิจัยพัฒนาและสร้างระบบนิเวศด้านการผลิตโคไทยวากิวเพื่อให้เป็นอาหารปลอดภัยตลอดห่วงโซ่การผลิต อันจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ ทำให้เกิดการส่งออกเนื้อวัวมากยิ่งขึ้น สร้างมูลค่าทางการตลาด ซึ่งเมื่อตลาดมีความต้องการมากขึ้น จะทำให้พี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงวัวมีรายได้มากยิ่งตามลำดับ
นายอนุชา กล่าวไปว่า การผลิตโคเนื้อในประเทศยังไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค ที่สำคัญตลาดส่งออกเนื้อโค โดยเฉพาะในตลาดประเทศอาเซียนรวมถึงตลาดโลก ยังมีช่องว่างให้เกษตรกรไทยได้นำโคเนื้อเข้าสู่ตลาดอีกมาก เพราะประเทศผู้ผลิตเนื้อโคของโลกโดยเฉพาะออสเตรเลีย บราซิล สหรัฐอเมริกา ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้การส่งออกเนื้อโคของประเทศดังกล่าวลดลง จึงเป็นโอกาสทองให้ไทยสามารถส่งออกเนื้อโคได้มากขึ้น ซึ่งความต้องการของตลาดโลก ในปี 2566 คาดว่าจะมีการบริโภคเนื้อโคปริมาณ 56.846 ล้านตัน โดยสหรัฐอเมริกามีการบริโภคมากที่สุด ปริมาณ 12.185 ล้านตัน รองลงมาได้แก่ จีน 10.330 ล้านตัน และบราซิล 7.547 ล้านตัน
“จากความต้องการโคเนื้อในตลาดโลก สอดคล้องกับการที่กองทุนหมู่บ้านฯ ได้ทำโครงการโคล้านครอบครัว ทำให้พี่น้องประชาชนมีโอกาสจับเงินแสน เงินล้านได้จากการทำอาชีพเกษตร-ปศุสัตว์ โดยเฉพาะการเลี้ยงโค การเลี้ยงโคเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อย เพราะโคกินหญ้าที่สามารถหาได้ตามพื้นที่ในชุมชน อีกทั้ง ทางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสนับสนุนสินเชื่อให้กับกองทุนหมู่บ้านฯ เพื่อเป็นแหล่งทุนให้พี่น้องสมาชิกฯ กู้ยืมสำหรับเลี้ยงโค กระบือ แพะ และแกะ ครอบครัวไม่เกิน 50,000 บาท คาดว่า 3 ปี จะสามารถคืนทุนได้ โดยตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไป จะเป็นกำไรของพี่น้องประชาชน ขอให้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ ขอเพียงให้พี่น้องอดทน ตั้งใจ และต้องมั่นศึกษาอัพเดทองค์ความรู้ใหม่ ให้ทันกระแสโลกด้วย ซึ่งปัจจุบันนี้ ไทยสามารถผลิตโคเนื้อวากิว ชื่อพันธุ์ “โคราชวากิว” เนื้อคุณภาพเกรดพรีเมี่ยมเทียบเท่าออสเตรเลียและญี่ปุ่นได้แล้ว ด้วยการนำนวัตกรรม วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี เข้ามาช่วยส่งเสริมในอาชีพ เกษตรกรต้องหมั่นศึกษาหาองค์ความรู้ใหม่ๆ มาพัฒนาในสายอาชีพอยู่เสมอจึงจะสามารถก้าวทันต่างประเทศ และหลุดพ้นความยากจนไปได้” นายอยุชา ย้ำ
รองศาสตราจารย์ ดร.รังสรรค์ พาลพ่าย อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ หัวหน้าศูนย์วิจัยเทคโนโลยีตัวอ่อนและเซลล์ต้นกำเนิด สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร มทส.เจ้าของผลงานวิจัยและปรับปรุงสายพันธุ์ การผลิตโคพันธุ์โคราชวากิว เปิดเผยว่า วัวพันธุ์ “โคราชวากิว” เป็นคุณภาพเนื้อจากวัวลูกครึ่งที่สามารถผลิตได้ในไทย โดยได้นำวัววากิวแท้จากญี่ปุ่นมาผสมกับวัวไทย เพื่อให้ได้วัวลูกครึ่ง แล้วนำวัวลูกครึ่งมาทำการขุน เลี้ยงตามกระบวนการผลิตวัววากิวของญี่ปุ่นทุกขั้นตอน เพื่อให้มีไขมันแทรกในเนื้อสูงขึ้น ทำให้เนื้อวัวมีคุณภาพที่ดี เราจึงได้วัวสายพันธ์ของไทยชื่อว่า “โคราชวากิว” นั่นเอง ซึ่งคุณภาพเนื้อโคราชวากิวของเราเทียบเท่ากับเนื้อวากิว ออสเตรเลีย วัวลูกผสมของเราเนื้อคุณภาพได้เกรด 9 แต่ราคาถูกกว่าออสเตรเลีย ลดการนำเข้าเนื้อจากออสเตรเลียได้เลย และเนื้อโคราชวากิวของเราสู้ราคาเนื้อวากิวลูกผสมจากญี่ปุ่นได้สบายๆ แถมราคาถูกกว่าด้วย เพราะการนำเข้าเนื้อวากิวจากญี่ปุ่นมีต้นทุนที่แพง การผลิตวัวโคราชวากิวจึงสามารถลดการนำเข้าเนื้อจากต่างประเทศได้เป็นอย่างดี และยังช่วยส่งเสริมให้ประชาชนผู้ทำอาชีพเกษตร-ปศุสัตว์ โดยเฉพาะการเลี้ยงวัวมีรายได้สูงขึ้นด้วย
ศูนย์วิจัยที่นี่ มีเกษตรกรภาคอีสานทุกจังหวัดเข้ามาศึกษาดูงานมากมาย แล้วนำองค์ความรู้ที่ได้ นำไปปฏิบัติ นำไปเลี้ยงวัว จนได้เนื้อวากิวที่มีคุณภาพจากหลากหลายที่ เช่น นำไปเลี้ยงที่สุรินทร์ กลายเป็นสุรินทร์วากิว สุรินทร์โกเบ ขอนแก่นวากิว ระยองวากิว เป็นต้น ปัจจุบันนี้ฐานความรู้ของศูนย์วิจัยแห่งนี้กลายเป็นแหล่งกระจายความรู้การเลี้ยงวัววากิวไปยังทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไปแล้ว ทุกวันนี้เรากำลังต่อยอดไปสู่ “เนื้ออีสานวากิว” ยกระดับสู้การส่งออกเนื้ออีสานวากิวไปแข่งกันสู่ตลาดโลกอีกด้วย”
สำหรับการจัดงาน“สร้างเศรษฐกิจฐานราก สร้างชาติมั่นคง”ครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดงานครั้งที่ 5 โดยมี กลุ่มเป้าหมายหลัก จากสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน ฯ ในพื้นที่รับผิดชอบ 3 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา, บุรีรัมย์, สุรินทร์ เข้าร่วมกิจกรรมอัพเดทองค์ความรู้มากมาย ได้แก่ กิจกรรมเสวนาโดยกองทุนหมู่บ้านต้นแบบ “ทำแล้ว ทำง่าย ทำได้…ไม่ยาก” โดยกองทุนหมู่บ้านดอนกอก หมู่ที่ 2 ตำบลหนองพลวง อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม Up Skill เรื่อง โคล้านครอบครัว จากวิทยากร รศ.ดร.รังสรรค์ พาลพ่าย อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อวากิวสัญชาติไทย รวมถึงกิจกรรม Business Matching และยังมีนิทรรศการให้ความรู้จาก กทบ. สำหรับการจัดงานครั้งที่ 6 ขอเชิญชวนสมาชิกกองทุน ฯ จังหวัดนครนายก และพื้นที่ใกล้เคียง มาร่วมงานเพื่อนำองค์ความรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จนำไป พัฒนา ต่อยอดให้คนในครอบครัว รวมถึงชุนชนมีรายได้ที่มั่นคง โดยงานจัดขึ้นในวันที่ 2 พฤษภาคม 2566 ณ จังหวัดนครนายก ต่อไป