วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2567) เวลา 10.00 น. ณ ห้อง Meeting Room ชั้น 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถนนรัชดาภิเษก เขตคลองเตย กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาในงาน iBusiness Forum 2024 หัวข้อ RESHAPING THAILAND FOR A SUSTAINABLE FUTURE พลิกเศรษฐกิจไทย ก้าวต่อไปอย่างยั่งยืน นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกฯ กล่าวปาฐกถาฯ ตอนหนึ่งว่า อนาคตของประเทศจะเป็นอย่างไร จะยั่งยืนมั่นคงแค่ไหน อยากให้ทุกคนเข้าใจปัญหารากฐานจริง ๆ ของประเทศไทย ตนเองขอใช้พีระมิดแทนปัญหาของประเทศไทย ปัจจุบันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ฐานของพีระมิดกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน เกิดความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐฐานะ ซึ่งเป็นปัญหาที่หมักหมมของประเทศไทยมาอย่างยาวนาน วันนี้ตนเองจะไม่ได้พูดถึงว่าใครเป็นต้นตอของเรื่อง แต่จะมาพูดถึงการแก้ไขปัญหา และการยอมรับปัญหา ซึ่งทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการ หน่วยงานความมั่นคง องค์กรอิสระต่าง ๆ ต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ ไม่ใช่แค่รัฐบาลแก้ไขปัญหาฝ่ายเดียว ถึงแม้ว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีหรือเป็นรัฐบาลจะมีอำนาจมาก แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาคนเดียวได้
นายกฯ กล่าวว่า ฐานรากพีระมิดของประเทศไทย 99% ของประชากร มีปัญหาหนี้สิน ปัญหายาเสพติด ปัญหาค่าแรงที่ไม่เหมาะสม รวมถึงปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร ทุกท่านทราบดีแล้วว่าหลาย ๆ รัฐบาล มีการแก้ไขปัญหาผ่านมาตรการต่าง ๆ โดยใช้งบประมาณแก้ไขปัญหาส่งผลให้หนี้สาธารณะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้มีการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการที่แท้จริง รัฐบาลชุดนี้ต้องการทำอย่างบูรณาการ เช่นเดียวกับประเทศที่เจริญแล้ว ต้องการทำเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนจริง ๆ ไม่ใช่หวังคะแนนเสียง และเชื่อว่ารัฐบาลจะทำให้รายได้สุทธิของเกษตรกรเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า ภายในระยะเวลา 4 ปี ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ยาก แต่รัฐบาลจะทำให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณภาพ ผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรที่ยังเป็นรองหลาย ๆ ประเทศคู่แข่ง รัฐบาลมีนโยบายเพิ่มผลผลิต เพิ่มคุณภาพ ซึ่งเป็นที่มาของรัฐบาลในการใช้เกษตรแม่นยำ เพื่อให้รายได้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้น รวมถึงการพัฒนาพันธุ์ข้าวที่ดี ซึ่งในส่วนนี้รัฐบาลให้ความสำคัญและพร้อมสนับสนุนงบประมาณให้เพียงพอต่อการดำเนินการ
นายกรัฐมนตรีระบุว่า พืชเศรษฐกิจทางด้านการเกษตรตัวใหม่ที่มีความต้องการของตลาด และเชื่อว่าเหมาะสมกับประเทศไทย คือถั่วเหลือง ซึ่งเป็นพืชที่เพาะปลูกง่ายใช้น้ำน้อย ถือว่าเป็นการประหยัดต้นทุน ส่วนการเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองถ้าใช้แรงงานคนจะทำให้มีต้นทุนสูง รัฐบาลได้ร่วมมือกับบริษัทคูโบต้า ในการนำรถมาเก็บเกี่ยวทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น ถือเป็นพืชอีกหนึ่งชนิดที่รัฐบาลให้การสนับสนุนการปลูก เพื่อทำให้เกษตรกรมีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น โดยมอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯ ได้นำข้อเสนอไปดำเนินการต่อไป
เรื่องของการแก้ไขปัญหายางเถื่อน นายกฯ กล่าวว่า มีการดำเนินการอย่างจริงจัง ทำให้สามารถจับกุม และแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้ายางเถื่อนมาประเทศไทย ส่งผลดีต่อราคายางพาราในประเทศไทยสูงขึ้นมาอยู่ในระดับก.ก.ละกว่า 70 บาทแล้ว พร้อมกับกล่าวย้ำว่า เกษตรกรเป็นภาคสำคัญที่จะต้องได้รับการดูแล รัฐบาลไม่ต้องการอุดหนุนราคาสินค้าเกษตรอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเกษตรกรส่วนมากเป็นคนที่มีศักดิ์ศรี ต้องการยืนหยัดด้วยตนเอง ส่วนเรื่องปัญหาหนี้สินของเกษตรกรที่ผ่านมาได้มีการพักหนี้มาตลอด เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้พี่น้องเกษตรกร รัฐบาลหวังให้การพักชำระหนี้ในรัฐบาลชุดนี้เป็นครั้งสุดท้าย
สำหรับเรื่องการบริหารจัดการน้ำ นายกฯ ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญ โดยมีการลงทุนสนับสนุนงบประมาณจำนวนมากในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาไม่ให้น้ำท่วมและน้ำไม่แล้งอย่างซ้ำซากทุกปี เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำเพียงพอต่อการทำการเกษตร อันจะส่งผลดีคุณภาพและราคา โดยนายกฯ ย้ำว่า การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ จะใช้งบประมาณอย่างเดียวไม่เพียงพอ จะต้องใส่ใจในการแก้ไขปัญหาด้วย ที่ผ่านมาตนเองได้ใส่ใจศึกษาปัญหาน้ำท่วมที่จังหวัดอุบลราชธานีซึ่งน้ำท่วมทุกปี แต่ปีน้ำไม่ท่วมเพราะว่าได้ใส่ใจต่อการแก้ไขปัญหา โดยไม่ต้องเสียงบประมาณ
นายกฯ กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยมีโอกาสที่จะดึงดูดนักธุรกิจเข้ามาลงทุนในประเทศเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเรื่องของพลังงานสะอาด ถือเป็นเครดิตของหลาย ๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่สามารถผลิตพลังงานสะอาดได้ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ที่ต่างมีส่วนช่วยทำให้อากาศไม่เลวร้ายไปกว่านี้ เหนือสิ่งอื่นใดคือ เป็นจุดที่สามารถดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศได้ นอกเหนือจากมาตรการทางภาษีและระบบสาธารณสุข รวมถึงการศึกษา นักธุรกิจให้ความสำคัญเรื่องพลังงานสะอาดเป็นหลัก ซึ่งจากที่ตนเองได้พูดคุยหารือกับบริษัทชั้นนำระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Microsoft หรือ Google ต่างให้ความสำคัญกับเรื่องพลังงานสะอาด
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเรื่องการท่องเที่ยวว่า ทุกท่านทราบดีว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศในช่วงที่ยังไม่สามารถใช้จ่ายงบประมาณได้ จนถึงปัจจุบัน รัฐบาลยังไม่ได้ใช้งบประมาณแม้แต่บาทเดียว ซึ่งรัฐบาลใช้นโยบายอย่างเดียวในการดำเนินงาน โดยเฉพาะนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว ไม่ว่าการให้วีซ่าฟรีกับนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งช่วงแรก ๆ ก็มีเสียงคัดค้านเรื่องเกี่ยวกับนโยบายดังกล่าว แต่ต่อจากนั้น ก็เกิดผลสำเร็จทำให้ได้รับวีซ่าฟรีอย่างถาวรทั้งสองประเทศ ถือว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นจำนวนมาก ไม่ใช่แค่ทำกับประเทศจีน รัฐบาลเดินหน้าทำต่อไปกับหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ นายกฯ มีแนวคิดจัดคอนเสิร์ตศิลปินดัง ๆ ระดับโลกในประเทศไทย ถือเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่รัฐบาลพร้อมสนับสนุน เชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการจัด และสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ จะต้องมีการจัดเทศกาลต่าง ๆ ควบคู่ไปด้วย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้พักอยู่ในประเทศไทยหลาย ๆ วัน ซึ่งทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
เรื่องของสนามบิน นายกฯ กล่าวว่า ครั้งสุดท้ายที่มีการลงทุนสร้างสนามบินขนาดใหญ่ คือสนามบินสุวรรณภูมิ การที่จะลงทุนอะไรต่าง ๆ ต้องมองย้อนไปว่าคุ้มหรือไม่ อย่างเช่น สนามบินสุวรรณภูมิถ้าหากไม่มีการลงทุนในวันนั้น วันนี้ยังคงมีแค่สนามบินดอนเมือง จะเกิดอะไรขึ้น และทุกวันนี้สนามบินสุวรรณภูมิเริ่มแน่นแล้ว จะต้องมีการปรับปรุงเพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ ตั้งแต่ปรับตารางการบินที่สนามบินเชียงใหม่ ให้สามารถบินได้หลังเที่ยงคืน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีนและเกาหลีใต้ และผู้ประกอบการก็มีรายได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่วนที่จังหวัดภูเก็ต เศรษฐีทั่วโลกต้องการจะมา แต่ไม่มีหลุมจอดเครื่องบินส่วนตัว ทำให้เขาเลือกที่จะไม่เดินทางมา
“มีหลากหลายมิติที่จะทำให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้า ตนเองเชื่อว่าทุกท่านเข้าใจและทราบดี อยากให้ทุกคนโฟกัสที่ศักยภาพของประเทศไทยไม่ใช่ปัญหา ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพมาก รัฐบาลมีความตั้งใจในการดึงศักยภาพนี้ออกมา ให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว และทำให้ประชาชนที่อยู่ในประเทศนี้มีความภาคภูมิใจ มีความยินดี มีสิทธิเสรีภาพทางด้านจิตใจ เลือกประกอบอาชีพได้ครบทุกมิติ และทำให้ประชาชนมีความสุข” นายกฯ ย้ำ