ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2564 นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน อภิปรายสรุปว่า มูลเหตุของการอภิปรายไม่ไว้วางใจคือ ประชาชนจมอยู่กับกองทุกข์ ประเทศจมอยู่ในกองหนี้ ทั้งประเทศและประชาชน ต่างไร้ทางออก ไร้ความหวัง แม้นายกฯบอก คนหายป่วยจากโควิดเป็นล้านคนแล้ว แต่ต่อมายังต้องมาเจอกับเรื่องเศรษฐกิจ เหตุที่คนตาย เพราะผู้นำไร้วิสัยทัศน์ ไร้ปัญญาไร้ความสามารถ โกง โอหังคลั่งอำนาจ ไร้ความรับผิดชอบ เหตุที่เราพูดกันมาก 4 วันคือ ค้าความตาย โดยมีเหตุแห่งการตาย 5 อย่าง คือ
1. ตาย เพราะผู้นำไร้ภูมิปัญญา ไร้วิสัยทัศน์
2. ตาย เพราะผู้นำไร้ความสามารถ
3. ตาย เพราะผู้นำโกง
4. ตาย เพราะผู้นำโอหังคลั่งอำนาจ
5. ตาย เพราะผู้นำไร้สำนึก ไร้ความรับผิดชอบ
นายสุทิน ระบุว่า แม้มีคนหายป่วยแล้ว ก็อาจอดยากจนตาย เพราะผู้นำไร้ภูมิปัญญาขาดวิสัยทัศน์ พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อการเปิดอภิปรายตัวเลขผู้ติดเชื้อและตายลดลง เมื่อไปตรวจสอบก็พบว่า เป็นเพราะมีการตรวจหาเชื้อน้อยลง อาจจะทำให้ประชาชนการ์ดตกได้ ประกอบกับรัฐบาลเพิ่งคลายล็อกด้วย ส่วนที่รัฐบาลอ้างว่าสถิติตัวเลขของไทย เมื่อเทียบกับทั่วโลกแล้วไทยดีกว่านั้น เป็นความคิดที่ผิด ขอรัฐบาลอย่าคิดว่าประชาชนโง่ หรือ ฝ่ายค้านโง่ เพราะประเทศอังกฤษ ตรวจหาเชื้อวันละ 7 หมื่นคน แต่ไทยตรวจวันละ 4 หมื่นคน ยืนยันว่าทุกคนกลัวตาย แต่การที่บริหารผิดพลาดให้คนตาย ถือเป็นความล้มเหลวสูงสุด จึงขอให้รัฐบาลนำไปพิจารณาเรื่องนี้ โดยเฉพาะที่ผ่านมามีคนตายอยู่ข้างถนน และตายเพราะรอเตียง ถือว่าเป็นการตายที่ต่ำกว่ามาตรฐานความเป็นมนุษย์ ซึ่งคนเหล่านั้นออกมาตะเกียกตะกายที่ด้านนอก เพื่อแสดงให้เห็นว่าต้องการความช่วยเหลือ และแสดงให้รัฐบาลเห็น จะได้รับรู้ถึงความเป็นจริง
ขณะที่แรงงาน ที่ถูกสั่งปิดแคมป์คนงานและโรงงานหลายแห่ง จนต้องหนีกลับบ้าน อยากให้มองดูสภาพความเป็นจริง เพราะบุคคลเหล่านี้ต้องทำงานส่งเสียที่บ้าน แต่เมื่อเจ็บป่วยคนเหล่านี้จะทำมาหากินอย่างไร ดังนั้นการที่รัฐบาลระบุว่าเศรษฐกิจดี เป็นเพราะมองภาพของธุรกิจใหญ่ จึงอยากให้มองถึงผลวิจัยของธนาคารแห่งประเทศด้วยว่า ธุรกิจใหญ่ 5% เหล่านี้มีส่วนแบ่งรายได้ถึง 85% แต่เอสเอ็มอีที่เหลืออีก 95% มีส่วนแบ่งตลาดอยู่เพียง 15% จึงปิดร้านเจ๊งตายเรียบหมด
ส่วนด้านสาธารณสุข เหมือนตัวใครตัวมัน เป็นเพราะความผิดของคณะรัฐมนตรี ที่ไม่มีมาตรการป้องกัน ไม่เตือนภัยชาวบ้าน การแพร่ระบาดที่เวทีมวย ชายแดน และสถานบันเทิงทองหล่อ ก็เกิดจากการหละหลวมของรัฐบาลทั้งสิ้น ทำให้ชาวบ้านต้องรับกรรม จึงเป็นที่มาของการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพราะอยากให้มีจิตสำนึกและมีสปิริตแสดงความรับผิดชอบ พร้อมถามรัฐบาลว่าจะมีมาตรการรองรับกับสายพันธุ์มิวที่เข้ามาใหม่ไว้อย่างไรบ้าง เหตุใดวัคซีนไม่เพียงพอ และทำไมไม่ชี้แจงเรื่องวัคซีนซิโนแวคถึงเอกสารการจ่ายเงินแบบรัฐต่อรัฐต่อสภาตามที่รัฐบาลอ้างไว้ รวมถึงทำไมยังสั่งซิโนแวคเพิ่มเติม ทั้งที่ทราบดีว่ามีคุณภาพไม่ดี เป็นเพราะมีเงินทอนหรือไม่ เหตุใดการซื้อแบบรัฐต่อรัฐจึงต้องเสียภาษี และทำไมจึงซื้อแพงกว่าประเทศเพื่อนบ้านถึง 100 บาท ทั้งที่อ้างว่าเป็นประเทศบ้านพี่เมืองน้อง ซึ่งเรื่องนี้ตลอด 2 วัน ก็ยังไม่มีการชี้แจงต่อสภา ทำให้ปักใจเชื่อได้ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น จึงเป็นที่มาของ “ค้าความตาย”
รัฐบาลยังบริหารประเทศแบบรัฐราชการ ทั้งที่มีกฎหมายในมือถึง 40 ฉบับ แต่กลับมีเงื่อนไขมากมาย อาทิ เรื่องวัคซีนไฟเซอร์ โมเดอร์นา ที่ต้องผ่านการตรวจสอบจากองค์การอาหารและยาไทย ทั้งที่ผ่านการตรวจสอบจาก WHO มาแล้ว รวมถึงเรื่องการซื้อชุดตรวจ ATK ที่มีการล็อกสเปก การเข้าถึงการตรวจโควิดในช่วงแรกแบบ RT-PCR ยังทำได้ยาก มีราคาแพง ทั้งหมดนี้จึงถือว่าเป็นความล้มเหลว ของรัฐบาล ที่จงใจทำผิดพลาด หาประโยชน์ เป็นผู้นำไร้ภูมิปัญญา ไร้วิสัยทัศน์ ไม่เข้าร่วมโครงการ Covax จนเป็น 1 ใน 7 ประเทศในโลก และการแทงม้าตัวเดียวกับวัคซีนแอสตราเซเนกา เพราะคิดแต่จะหาช่องโกง และยังโกงทุกขั้นตอนของโควิด อีกทั้งยังกีดกันภาคเอกชนนำเข้าวัคซีน ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จึงมีภูมิปัญญาเป็นได้ถึงแค่ผู้บัญชาการทหารบก แต่ไม่ถึงการเป็นนายกฯ เพราะไม่มีความสามารถบริหารทางการเมือง เน้นแต่กระบวนการแต่ไม่มีผลงานชัดเจน
นอกจากนี้ยังออกกฎหมายปิดปากประชาชน เตรียมออก ร่าง พ.ร.ก.จำกัดความรับผิดบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 เพื่อมาล้างผิดเรื่องวัคซีนซิโนแวคโดยเฉพาะ และยังโกงการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ในกองทัพ แทนที่จะนำมาคิดซื้อวัคซีน โดยความไม่ไว้วางใจเหล่านี้ ยังลามไปถึงพรรคของรัฐบาลเองแล้ว จนต้องซื้อความไว้วางใจ สิ่งที่แก้ได้คือการเปลี่ยนรัฐบาล ซึ่งฝ่ายค้านทำสุดความสามารถแล้ว จึงหวังว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะร่วมด้วย ด้วยการโหวตไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อเป็นของขวัญให้กับชาวบ้าน เพราะนายกฯคนนี้ ทำลายประชาธิปไตย ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เหยียบย่ำศักดิ์ศรีรัฐสภา ฝ่ายค้านทุกชีวิตรับไม่ได้กับเหตุการณ์เมื่อวานนี้ จึงไม่ไว้วางใจให้ทำหน้าที่ต่อ
นายกฯให้คำมั่นร่วมมือทุกฝ่ายนำพาประเทศก้าวสู่อนาคตที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
.พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎรในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
1.รัฐบาลพร้อมปรับแก้ไขปัญหา และจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม้ไทยจะไม่ใช่ประเทศที่รับมือได้ดีที่สุด แต่รัฐบาลได้ทำอย่างเต็มกำลัง “ขอขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือกันฝ่าวิกฤติ”
2.อัตราการหายป่วยของไทยมากกว่า 85% ต่อผู้ติดเชื้อในประเทศ มีผู้ป่วยสะสม 1.23 ล้านคน ซึ่งหายป่วยแล้ว 1.05 ล้านคน เกณฑ์การรักษาชีวิตผู้ติดเชื้อได้มากกว่าเกณฑ์เฉลี่ยโลกถึง 2 เท่า อัตราการเสียชีวิตโลก 2.08% ของไทย 0.96%
3.ต้องคิดและมองไปข้างหน้า ร่วม “ก้าวผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน” ด้วยวิธีการควบคุมโรคแนวใหม่ที่สมดุล กับการดำเนินชีวิตที่ปลอดภัยจากโควิด-19
4.รัฐบาลเตรียมการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทุกมาตรการ/โครงการ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และหากใครที่ยังเข้าไม่ถึงก็พิจารณาต่อไป เน้นความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ตามความหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
5.ยุทธศาสตร์ของประเทศไทยที่รัฐบาลจะเดินหน้าต่อจากนี้
5.1 การต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนในภูมิภาค
5.2 การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นวาระของโลก
5.3 การต่อยอดอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพและมีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ
5.4 อุตสาหกรรมใหม่แห่งอนาคต ที่เน้นการเสริมสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่สอดรับกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก
5.5 สร้างภูมิคุ้มกันและแต้มต่อให้ SMEs โดยรัฐบาลมีแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจบนพื้นฐาน “การพัฒนาผู้ประกอบการยุคใหม่”
5.6 การปฏิรูปและพัฒนาระบบการบริหารงานภาครัฐ
6. รัฐบาลยินดีรับฟังทุกความคิดเห็น เพื่อนำไปปรับปรุง แก้ไข มุ่งลดจุดอ่อนในการทำงานที่อาจจะยังมีอยู่ เพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน