ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรี โดยใช้รูปแบบอ่านแถลงการณ์เป็นเวลาประมาณ 16 นาที โดยระบุว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการ ศบค. จะขอมารายงานความก้าวหน้าของผลการดำเนินมาตรการที่ได้มีการสั่งการลงไปแล้ว เพื่อแก้ปัญหาสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดังต่อไปนี้ครับ เรื่องที่หนึ่ง คือเรื่องของการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะในพื้นที่คลองเตย ซึ่งผมได้ติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นพื้นที่ใจกลางเมือง และกระทบกับชีวิต ความปลอดภัยของพ่อแม่พี่น้องเป็นจำนวนมาก ในเรื่องนี้ ผม ในฐานะผอ.ศูนย์ ศบค. กรุงเทพและปริมณฑล ได้สั่งการเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานได้ระดมสรรพกำลังเข้าป้องกันการลุกลามอย่างเต็มที่ โดยมียุทธวิธีสำคัญในการเอาชนะศึกครั้งนี้ ก็คือ การระดมตรวจเชิงรุกให้ได้มากที่สุดในพื้นที่เป้าหมาย โดยนับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เรามีการตรวจไปแล้วมากกว่า 70,000 ราย ในชุมชนที่มีความเสี่ยง เฉลี่ย 7,000 รายต่อวัน ผลที่เกิดขึ้นคือ เราสามารถระบุตัวผู้ติดเชื้อ และคัดแยกผู้ติดเชื้อ ไปรักษาได้อย่างทันการณ์ รวมทั้งแยกผู้มีความเสี่ยงจากการอยู่ใกล้ชิด ไปกักตัว ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่อ จำกัดวงการแพร่ระบาดให้แคบที่สุด สั้นที่สุด
ดังนั้น ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่านอาจจะเห็นยอดผู้ติดเชื้อต่อวันเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากการตรวจเชิงรุกแบบปูพรมของเรา ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันในช่วงนี้ อาจจะยังมีขึ้นมีลงอยู่บ้าง แต่ทางทีมแพทย์เชื่อมั่นว่า ด้วยวิธีนี้ จะทำให้เราควบคุมสถานการณ์ได้ในไม่ช้า และยอดผู้ติดเชื้อจากในพื้นที่จะค่อยๆ ลดลง ซึ่งล่าสุด ยอดผู้ติดเชื้อในกรุงเทพเริ่มทรงตัวและลดลง ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดี แต่เราก็ยังไม่นิ่งนอนใจ จะดำเนินการตรวจเชิงรุกในพื้นที่เสี่ยงต่อไปให้มากและเร็วที่สุด และในขณะเดียวกัน ก็เร่งระดมฉีดวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนให้มากที่สุด เพื่อตัดวงจรสะเก็ดไฟ ซึ่งจนถึงวันนี้ ได้มีการฉีดวัคซีนในพื้นที่คลองเตยไปแล้วมากกว่า 13,000 คน หรือเกือบ 30% ของเป้าหมาย ที่จะฉีดให้ได้อย่างน้อย 5 หมื่นคน และพื้นที่ปทุมวันที่อยู่ใกล้เคียง ได้ฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 50% ของเป้าหมาย 14,000 คน โดยเฉลี่ยแล้วทั้งสองเขตฉีดได้มากกว่าวันละ 2,000 คน โดยผลการดำเนินการจากคลัสเตอร์คลองเตย จะใช้เป็นแนวทางในการจัดการกับการแพร่ระบาดในพื้นที่เขตอื่นๆ ของ กทม.และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัดด้วยครับ
สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อ ผมขอยืนยันอีกครั้งว่า รัฐบาลจะดูแลค่ารักษาพยาบาล ออกค่าใช้จ่ายให้ประชาชนทุกคนตามสิทธิ ตั้งแต่การตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยง การรับวัคซีนการชดเชยกรณีได้รับผลข้างเคียงการฉีดวัคซีน และการรักษาพยาบาล ในกรณีโรงพยาบาลเอกชน รัฐจะอุดหนุนค่าใช้จ่าย
ไปที่ รพ.เอกชน เพิ่มร้อยละ 25 ทุกรายการ หากมีประกันส่วนบุคคล ให้โรงพยาบาลเรียกเก็บประกันส่วนบุคคลก่อน ที่เหลือให้เรียกเก็บกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยห้ามโรงพยาบาลเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากประชาชน
หากฝ่าฝืนจะมีโทษตามกฎหมาย กรณีที่เกิดความเสียหายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น บาดเจ็บ เจ็บป่วยต่อเนื่อง เสียอวัยวะ พิการ ทุพพลภาพถาวร หรือเสียชีวิต สามารถยื่นขอรับเงินเยียวยาได้จาก สปสช. ได้ และยังมีค่าประกันสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเสียสละเสี่ยงภัยปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ โดยมีการทำกรมธรรม์ประกันภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ จำนวน 270,000 ราย วงเงินความคุ้มครองมากกว่า 270,000 ล้านบาท ในกรณีเจ็บป่วยหรือเสียชีวิต
แต่ที่สำคัญที่สุด ผมต้องขอร้องให้ทุกท่านระมัดระวังตนเอง เรายังไม่พ้นจากการแพร่ระบาดในระลอกนี้ ขอให้ป้องกันตนเองให้เต็มที่ จะเห็นได้ว่าผู้ติดเชื้อจำนวนมากในระลอกนี้ เป็นการติดเชื้อในครอบครัว ในหมู่เพื่อนฝูง ที่ทำงาน ซึ่งเป็นการยากที่ภาครัฐจะลงไปควบคุมดูแลได้ทั้งหมด ดังนั้น หากเราจะชนะศึกครั้งนี้ได้ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน และเข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิม เจ้าหน้าที่ทุกคน ทั้งหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อาสาทุกคน ได้เหน็ดเหนื่อยกับภารกิจอันใหญ่หลวงในครั้งนี้
ผมอยากให้พวกเราทุกคน รวมทั้งสื่อมวลชน มีส่วนร่วมในการช่วยชาติ ช่วยชุมชนของท่าน ก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ และขอให้คำนึงถึงผลกระทบของการแชร์ข่าวสารที่ไม่รู้ที่มา ยังสงสัย ไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องก่อน ก็จะสร้างความวุ่นวายสับสนให้แก่สังคม ยิ่งกว่านั้น ยังมีกลุ่มคนที่เจตนา หรือไม่เจตนา สร้างและเผยแพร่ข้อมูลเท็จ หรือ Fake News ผมขอให้หยุดการกระทำเหล่านี้ เพราะจะเป็นการซ้ำเติมเพิ่มความเดือดร้อน ความเสี่ยงให้กับตัวเอง คนรอบข้าง และประเทศชาติ โดยผมได้สั่งการและย้ำให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มงวด ในการตรวจสอบ และจะมีการดำเนินการทันที หากพบการกระทำผิด ดังนั้น ผมจึงขอให้ทุกคนร่วมแรง ร่วมใจกัน เพื่อประเทศชาติและส่วนรวม แล้วพวกเราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันได้ครับ
นอกจากการควบคุมสถานการณ์ ที่เป็นเรื่องเร่งด่วนเฉพาะหน้าแล้ว สิ่งที่ผมและรัฐบาลพยายามคิดวางแผนทุกวัน ก็คือการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนจากผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการปิดสถานที่ต่างๆ ผมได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ติดตามดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อควบคุมสถานการณ์ในแต่ละจังหวัดให้ได้ ปิดกั้นการลักลอบเข้าประเทศอย่างสูงสุด และประเมินสถานการณ์วันต่อวัน หากจังหวัดใด โดยเฉพาะจังหวัดโซนสีแดง ที่มีการปิดสถานที่และข้อจำกัดต่างๆ มีสถานการณ์ที่ควบคุมได้ดีขึ้นแล้ว อาจพิจารณาผ่อนคลายเงื่อนไขต่อไป เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้กลับไปสู่การทำมาค้าขาย การเดินทางท่องเที่ยวได้เช่นเดิม ซึ่งผมจะพิจารณาด้วยความรอบคอบ เพื่อรักษาสมดุล ทั้งทางสุขภาพและเศรษฐกิจที่ต้องเดินควบคู่กันไป
ส่วนในเรื่องของมาตรการทางเศรษฐกิจที่ครม.ได้พิจารณาในวันนี้ มีหลายประเด็นที่สำคัญ เช่น “โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก” วงเงิน 45,000 ล้าน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น ซึ่งจะเร่งดำเนินการทันทีเมื่อสถานการณ์ของโควิดบรรเทาลง โดยจะมีคณะกรรมการ “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” เป็นกลไกสำคัญ ภายใต้การติดตามของรองนายกรัฐมนตรีทุกคน
นอกจากนี้ ในวันนี้คณะรัฐมนตรียังได้มีมติเห็นชอบกับการเพิ่มเงินสนับสนุนในโครงการ “เราชนะ” อีกคนละ 1,000 บาท เป็นเวลาสองสัปดาห์ ซึ่งจะมีพี่น้องประชาชนได้รับประโยชน์จำนวนมากถึง 33.5 ล้านคน รวมทั้งการเพิ่มเงินช่วยเหลือผู้ประกันตนโครงการ ม.33 เรารักกัน อีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์เช่นกัน และขยายเวลาของโครงการออกไป ถึงเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งจะสามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้มากกว่า 8 ล้านคน
ทั้งหมดนี้ คือการทำงานอย่างเต็มที่ของผมและผู้เกี่ยวข้องทุกคน ที่ทำงานอย่างต่อเนื่องทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่วันหยุด ในการวางแผนและดำเนินการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน คลี่คลายสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด และบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ ปากท้องของพี่น้องประชาชน เตรียมความพร้อมในการฟื้นฟูอนาคตประเทศไทย และตอบรับโอกาสที่กำลังจะมาถึง
ในขณะนี้ เราคนไทยทั้งประเทศ และทั่วโลก กำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวร้ายที่เราไม่เคยพบเจอมาก่อน ที่ชื่อว่าไวรัสโควิด-19 และทางเดียวที่เราจะเอาชนะศัตรูตัวนี้ได้ ก็คือการร่วมแรงร่วมใจ ร่วมมือกันแก้ปัญหา ไม่ใช่การขัดแย้งหรือแตกแยกกัน อนาคตของประเทศไทยต่อจากนี้ จะขับเคลื่อนไปได้อย่างมั่นคงเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับเราทุกคน ที่จะต้องรวมใจให้เป็นหนึ่งเดียว แล้วก้าวเดินไปพร้อมกัน ขอบคุณครับ