เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มี นายชวน หลีกภัย ประธานสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล เวลา 10.00 น. นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ในสภาผู้แทนราษฎร อ่านญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
นายสมพงษ์ พยายามชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดล้มเหลวของรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพ บริหารจัดการวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ผิดพลาด จนประชาชนต้องติดเชื้อเกือบล้านคน เสียชีวิตหลายพันคนและอาจถึงหลักหมื่นคน อีกทั้งยังก่อให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นมาซ้ำเติมความยากลำบากของพี่น้องประชาชน
สถานการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงวิกฤตโรคระบาด ที่คนไทยต้องเผชิญอย่างหนักหนาสาหัสเท่านั้น แต่วิกฤตเลวร้าย รุนแรง ตอกย้ำความทุกข์ของพี่น้องประชาชนคนไทยยิ่งกว่าโรคระบาด คือ “วิกฤตผู้นำรัฐบาล ที่โอหัง คลั่งอำนาจ ไร้ประสิทธิภาพ และน่าละอาย” ซ้ำร้ายในสถานการณ์ที่พี่น้องประชาชนทุกข์ยาก กลับปรากฎพฤติการณ์ลักษณะ ‘กอบโกยผลประโยชน์บนซากศพของพี่น้องประชาชน’
เป็นรัฐบาล “ที่กล้า ที่จะค้าความตาย” ส่งมอบความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานให้กับประชาชน อย่างถ้วนหน้า โดยท่านไม่รู้สึกละอายต่อสิ่งที่กระทำไป
ทั้งนี้ระหว่างที่นายสมพงษ์อ่านญัตติไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์นั้น นายสมพงษ์ได้กล่าวชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ ผิดเป็น พล.อ.ประยุทธ์ ยงใจยุทธ ถึง 2 ครั้ง ทำให้สมาชิกบางส่วนส่งเสียงหัวเราะและแสดงสีหน้าเลิ่กลั่กกัน พร้อมกับมีส่งเสียงกระซิบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
“ประเสริฐ”กล่าวหาค้าความตาย “วัคซีนซิโนแวค”
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส. นครราชสีมา และ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้เปิดเผยข้อมูลการซื้อขายวัคซีนซินโนแวค ที่เต็มไปด้วยความน่าสงสัย ผูกขาด ตัดตอน ซ่อนเงื่อน ไม่โปร่งใส ในหลายประเด็น ดังนี้
+ แฉราคาซื้อ Sinovac 17 เหรียญ/โดส โดยไทยซื้อแพงกว่าเพื่อน
+ การจัดซื้อ Sinovac ทั้งที่ WHO ไม่รับรองวัคซีน
+ เปิดไทม์ไลน์จัดซื้อ Sinovac เพียง 27 วัน
+ การจัดซื้อ Sinovac ไม่เป็นไปตามแผน ซื้อเกิน 3 เท่า
+ นำไปสู่คำถามที่ว่า เงิน Sinovac เงินทอน 1,603 ล้าน เข้ากระเป๋าใคร?
+ ประยุทธ์ และอนุทิน มีเจตนาพิเศษ ไม่ระงับยับยั้ง
พลเอกประยุทธ์ และอนุทิน มีเจตนาพิเศษ ไม่ระงับยับยั้ง ทั้งที่มีหน้าที่และอำนาจระงับยับยั้ง โดยนำข้อทักท้วง ข้อเสนอแนะ มาพิจารณาเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน แต่ทั้งพลเอกประยุทธ์ฯ และอนุทิน กลับไม่สนใจ ไม่นำพา ในคำทักท้วงและข้อเสนอแนะของหน่วยงานดังกล่าวแต่อย่างใด เดินหน้าจัดซื้อ วัคซีน Sinovac จากบริษัท Sinovac Biotech อย่างต่อเนื่องในปริมาณที่มากเกินไป จนผิดสังเกตุ
ทำให้เชื่อว่า การจัดซื้อครั้งนี้ ไม่ชอบมาพากล มีผลประโยชน์แอบแฝง มีการเอื้อประโยชน์ต่อนายทุน เอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง ไม่คำนึงถึงชีวิตของพี่น้องประชาชน เป็นการจัดหาวัคซีนที่มีพฤติกรรมปิดบังอำพราง เป็นวัคซีนเส้นใหญ่ วัคซีนสายสัมพันธ์ แต่ด้อยประสิทธิภาพสูงสุด
พลเอกประยุทธ์ และอนุทิน มีเจตนาพิเศษ ไม่ระงับยับยั้ง ทั้งที่มีหน้าที่และอำนาจระงับยับยั้ง โดยนำข้อทักท้วง ข้อเสนอแนะ มาพิจารณาเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน แต่ทั้งพลเอกประยุทธ์ฯ และอนุทิน กลับไม่สนใจ ไม่นำพา ในคำทักท้วงและข้อเสนอแนะของหน่วยงานดังกล่าวแต่อย่างใด เดินหน้าจัดซื้อ วัคซีน Sinovac จากบริษัท Sinovac Biotech อย่างต่อเนื่องในปริมาณที่มากเกินไป จนผิดสังเกตุ
.
ทำให้เชื่อว่า การจัดซื้อครั้งนี้ ไม่ชอบมาพากล มีผลประโยชน์แอบแฝง มีการเอื้อประโยชน์ต่อนายทุน เอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง ไม่คำนึงถึงชีวิตของพี่น้องประชาชน เป็นการจัดหาวัคซีนที่มีพฤติกรรมปิดบังอำพราง เป็นวัคซีนเส้นใหญ่ วัคซีนสายสัมพันธ์ แต่ด้อยประสิทธิภาพสูงสุด
“เสรีพิศุทธ์” กล่าวหาประยุทธ์กู้เงินมาสืบทอดอำนาจ จัดงบประมาณปรนเปรอกองทัพ
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ไม่สุจริต ฉ้อฉล กู้เงินเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการสืบทอดอำนาจจัดงบประมาณโดยไม่เข้าใจปัญหาของประเทศและประชาชน ปรนเปรอแต่กองทัพเพื่อใช้เป็นฐานอำนาจของตน ปฏิบัติหน้าที่โดยใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ไม่สนใจชีวิตความเป็นอยู่และความทุกข์ยากของประชาชน ใช้กฎหมายและอาวุธที่ซื้อจากภาษีของประชาชนเป็นเครื่องมือขู่ปราบปรามประชาชน ลิดรอนสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนโดยไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนใดปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน
.
ย้อนกลับไปในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2562 ไม่ว่าตนจะไปหาเสียงที่ไหนก็มีทหารติดตามไปหมด ซึ่งเชื่อว่าทุกพรรคร่วมฝ่ายค้านที่เป็นปรปักษ์กับนายกรัฐมนตรีก็ต้องโดนแบบนี้ ซึ่งแผนที่ทหารจะถูกลงโทษกลับถูกสนับสนุนกันอีก หลังจากเลือกตั้งเสร็จแล้วบัตรเลือกตั้งของพรรคเสรีรวมไทยกลับเป็นบัตรเสียทุกที ซึ่งเมื่อคำนวณจำนวน ส.ส. พึงมีพรรคเสรีรวมไทยจะต้องได้ ส.ส. จำนวน 11 คน แต่กลับได้เพียง 10 คน จนกระทั่ง พล.อ. ประยุทธ์ ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี และเมื่อขึ้นเป็นนายกฯ แล้วก็ถวายสัตย์ไม่ครบ ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. นำเรื่องนี้มาตรวจสอบก็นำคนมาป่วน
.
“ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีไม่ได้รู้กฎหมายเลย ท่านเป็นทหารไม่ได้เรียนมา ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เมื่อท่านอยากเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วท่านก็ต้องรู้กฎหมาย ไม่อย่างนั้นท่านก็จะออกคำสั่งและออกระเบียบที่ผิดพลาดมาโดยตลอด รวบอำนาจ คุมทุกอย่าง ยึดติดการสั่ง ไม่ฟังคนอื่นเพราะท่านเคยเป็นทหาร สั่งทหารซ้ายหัน ขวาหัน เอาแต่ใจตนเองและพวกพ้องตลอดเวลา และเมื่อเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี อันดับแรกคือกู้เงินหาเงินไม่เป็น ไม่เคยหาเงินให้ประเทศ มีแต่กู้ทุกปีจนได้ฉายาเป็นนักกู้ลุ่มน้ำเจ้าพระยาไปแล้ว ทั้งหมดนี้จึงเป็นคุณสมบัติที่ พล.อ. ประยุทธ์ไม่สามารถที่จะดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ซึ่งหากยังดำรงตำแหน่งก็จะทำให้ประเทศเสียหายเป็นอย่างยิ่ง” พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์กล่าว
.
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ยังกล่าวด้วยว่า การกู้เงินไปใช้ประโยชน์ในการสืบทอดอำนาจจะเห็นได้ว่า พล.อ. ประยุทธ์ ตั้งงบประมาณเกินงบดุลในทุกปีตั้งแต่ดำรงตำแหน่ง จนถึงปัจจุบันกู้เงินไปแล้ว 5.3 ล้านล้านบาท นอกจากนั้น พล.อ. ประยุทธ์ยังกู้เงินเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการสืบทอดอำนาจ จัดงบประมาณโดยไม่เข้าใจปัญหาของประเทศและประชาชน โดยประชาชนต้องการเพียงปัจจัย 4 อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักโรค แทนที่จะตั้งงบประมาณเพื่อประชาชน กลับตั้งไปยังโครงการต่างๆ เพื่อให้ได้เงินทอน หรือเรียกว่าตั้งงบประมาณเผื่อโจร จึงไม่สามารถที่จะไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ ตนจึงขอไม่ไว้วางใจในวันนี้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องรอลงมติในวันที่ 4 กันยายน
นายกฯ ยันไม่ใช้งบฯ ปูฐานการเมือง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงสภาภายหลัง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อในฐานะหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยอภิปราย ว่า “ผมจำเป็นต้องชี้แจงในช่วงนี้เพราะถือว่าในฐานะท่านเป็นรุ่นที่ผม หลายอย่างรู้สึกว่าคิดไม่ตรงกันเท่าไหร่ อาจจะเนื่องจากประสบการณ์ที่ต่างกัน เพราะท่านเป็นแค่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ท่านอ้างว่าผมไม่รู้เรื่องนู้นเรื่องนี้ ซึ่งในการจัดทำงบที่ท่านบอกว่ารัฐบาลทำแบบขาดดุลไม่มีความก้าวหน้า ใช้เงินเพื่อปูพื้นฐานทางการเมือง ท่านรู้ดีเหลือเกิน เพราะผมไม่เคยทำแบบนี้ งบเอามาใช้ตามสถานการณ์โควิด–19 ทั้งสิ้น ส่วนงบกลางก็เป็นแผนการใช้จ่ายตามระเบียบ ผมไม่สามารถไปชี้นิ้วอะไรได้เลย ทุกอย่างผ่านการกลั่นกรองตรวจสอบทุกประการ ผมไม่อยากมีปัญหาแบบก่อนหน้านั้นที่มีเรื่องทุจริต อย่างไรก็ตาม สถานะทางการการเงินของประเทศไทยในระดับประเทศยังดีอยู่มาก เวิลด์แบงก์ประเมินสถานะการเงิน การคลัง ของไทยยังดีอยู่เช่นเดิม การจะกู้หรือจะใช้เงินเขารับรองให้เราหมด เราจะทำเท่าที่จำเป็นในสถานการณ์โควิด – 19”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า วันนี้เราต้องใช้โอกาสที่บ้านเมืองเราสงบสุข มีเสถียรภาพ มีความมั่นคง ไม่ใช่สนับสนุนให้มีความวุ่นวาย วันนี้มีการตรสจสอบอยู่ว่าเป็นใครที่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย ในส่วนของรัฐบาลทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร ตำรวจก็ฝ่ายบริหาร และเราอย่าลืมอีก 2 อำนาจ คือ อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ รัฐบาลกับตำรวจก็ทำเต็มที่ การที่บอกว่าใช้อำนาจกับประชาชนกับเด็ก ถามว่าใช่ที่ที่ควรจะไปหรือไม่ “ท่านบอกว่าผมใช้อาวุธ แต่ผมไม่เห็นตำรวจใช้อาวุธจริงสักคน ท่านมองไม่ออกหรือว่าอันไหนอาวุธจริงหรืออาวุธปลอม อันไหนกระสุนจริง กระสุนปลอม มีแต่ตำรวจถูกยิงทุกวัน แล้วทำไมถึงบอกว่าตำรวจใช้ความรุนแรง ซึ่งขัดแย้งกับความเป็นจริง ดังนั้น อย่าไปเลือกดูภาพในโซเชียลมีเดีย เพราะขึ้นอยู่กับฝ่ายไหนจะเอาออกมา แต่ยืนยันว่าไม่มีการสั่งการให้ตำรวจใช้อาวุธจริง ก็คอยดูต่อไปว่าใครเป็นผู้ที่ทำให้เรื่องเกิดขึ้นมาก่อน และด้วยแรงสนับสนุนจากใคร นี่คือสิ่งที่รัฐบาล และประเทศไทยต้องระมัดระวังที่สุด”
ส่วนที่บอกว่ารัฐบาลมีมาตรการต่างๆ ออกมาเพื่อให้ประชาชนรักนั้น อยากบอกว่าตนจะอยู่ต่อหรือไม่อยู่ ขึ้นอยู่กับกระบวนการประชาธิปไตย ตนไม่สามารถไปหลอกล่อใครได้ ตอนนี้ประชาชนเปิดหูเปิดตามากขึ้นแล้ว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนนึกถึงประชาชนทุกวัน ที่ต้องทำงานเงอร์กฟรอมโฮม และต้องกักตัว 14 วันจริงๆ เพราะคนที่ถ่ายรูปข้างตนติดโควิด ตนทำงานทุกวันที่ทำเนียบรัฐบาล แต่เป็นการประชุมออนไลน์คุยกันผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ติดต่อกันทุกวัน การทำงานเป็นแบบนี้ วันนี้เป็นโลกยุคใหม่แล้ว
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ส่วนเรื่องเงินทอนการจัดซื้อวัคซีน ท่านไปหามาว่าใครได้ ผมยอมรับการตรวจสอบทุกชนิด อย่าบอกว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่ถูกตรวจสอบ ที่ผ่านมามีการตรวจสอบทั้งหมด ผมคิดว่าท่านเข้าใจอะไรไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ และที่บอกว่าท่านใช้เงินส่วนตัวช่วยเหลือประชาชนมากว่าผม ทุกวันนี้ผมรับแต่เงินเดือน ไม่มีลูกหลานทำธุรกิจอะไรใช้แต่เงินเดือนเท่านั้น และผมสวดมนต์ทุกวัน ดังนั้นจะไม่ทำอะไรที่ผิด ที่จริงตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ผมต้องชี้แจงที่ต้องพูดเพราะเห็นว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เป็นพี่ แต่ท่านก็ตำหนิน้องท่านมากไปหน่อย จะให้ฝ่ายค้านมาชมผมก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่อยากให้คำนึงถึงความจริง
“อยากฝากไปถึงประชาชนที่ฟังอยู่ ให้ดูหน้าผม ผมพูดจากหัวใจ จากสมองที่ท่านบอกว่าน้อยนิดของผม แต่ท่านอย่าลืมว่าผมมีประสบการณ์ 6 – 7 ปีมาแล้ว นี่คือความแตกต่างที่ผมอาจจะรู้มากกว่าท่าน ส่วนเรื่องโควิดกับเศรษฐกิจก็ต้องว่ากันต่อไป ส่วนเรื่องการบริหารจัดการวัคซีน เราพยายามแก้ปัญหามาตลอด รายละเอียดต่างๆ รองนายกฯ พร้อมชี้แจงอยู่แล้ว ผมยืนยันรัฐบาลทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ เป็นห่วงเป็นใยประชาชน และพิจารณาตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นระยะมาตลอด ตอนที่รองนายฯ ชี้แจงขอให้ท่านฟังด้วยก็แล้วกัน ถ้าไม่ใช่ก็ตรวจสอบ แต่ถ้าไปพูดข้างนอกอาจจะมีปัญหา ผมไม่ได้ขู่ เพราะแม้จะเป็นการพูดในสภาก็ต้องระมัดระวังเหมือนกัน” นายกฯ กล่าว
.
“รอวัคซีน รอเยียวยา รอตรวจเชื้อ รอเตียง รอออกซิเจน รอความตาย”
นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า รัฐบาลยังมีความผิดพลาด ความประมาท หรือการทุจริต ไม่ว่าจะเป็นการแกล้งโง่ หรือโง่จริง ในการจัดสรรวัคซีนที่ผิดพลาด เริ่มต้นจากวัคซีนแบบ mRNA ของ Pfizer ได้ทำหนังสือขอเข้าพบ พล.อ. ประยุทธ์ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2563 แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รับการตอบรับ ทั้งที่ขณะนั้นบริษัทวัคซีนของ Pfizer เสนอวัคซีนให้รัฐบาลไทยจำนวน 25 ล้านโดส สำหรับการจัดทำหนังสือครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2563 บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ทำหนังสือขอเข้าพบ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเสนอเรื่องเดิม และผลตอบรับก็เงียบเหมือนเดิม
.
สำหรับการตัดสินใจที่พลาดของรัฐบาลที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นนั้น มาจากการปล่อยให้ประชาชนกลับบ้านในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังจะลักหลับในการออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมสุดซอยล้างผิดที่ปล่อยให้ประชาชนติดโควิดและเสียชีวิตด้วย และรัฐบาลยังได้ปิดกั้นสื่อมวลชน โดยการออกประกาศคำสั่งห้ามเสนอข่าวสารที่กระทบต่อความมั่นคงอีกด้วย
.
“อย่างไรก็ตาม ในวันนี้รัฐบาลยังปล่อยให้ประชาชนต้องเผชิญกับโรคระบาดแบบตามมีตามเกิด ให้รอวัคซีน รอเยียวยา รอตรวจเชื้อ รอเตียง รอออกซิเจน รอความตาย ทรมานจนต้องตายคาบ้าน ตายข้างถนน นายกรัฐมนตรีก็ยังทำงานแบบ Work from Home” มงคลกิตติ์กล่าว
.
มงคลกิตติ์กล่าวต่อไปว่า นายกรัฐมนตรีเป็นคนชอบใช้กองกำลังแบบติดอาวุธ ที่ใช้ตำรวจกว่า 6,000 นาย ในการปกป้องบ้านตนเอง สั่งปราบปรามผู้เห็นต่าง โดยใช้อาวุธทั้งสารเคมีแก๊สน้ำตา กระสุนยาง บ้างเพื่อพยุงอำนาจตนเอง พยายามออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรมสุดซอย ล้างผิดตนเองและพวกพ้อง โดยอ้างเป็นการปกป้องแพทย์ พยาบาล และบุคลากรด่านหน้า ออกกฎหมายปิดปากสื่อมวลชนประชาชนที่วิจารณ์รัฐบาล นายกรัฐมนตรีรู้หรือไม่ว่าประชาชน 99.99% เขารังเกียจท่าน ขยะแขยง ถ้าท่านไม่เชื่อท่านลองไปเดินตลาดคนเดียว แล้วท่านจะรู้ว่าประชาชนรู้สึกอย่างไรกับท่าน
.
“นายกรัฐมนตรีบริหารประเทศแบบผิดพลาด เพราะโง่เขลา หรือแกล้งโง่ หรือต้องการค้าความตายของประชาชน เอาแต่ประโยชน์เข้าตัวและพวกพ้อง จนทำให้ประชาชนต้องลำบาก ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน น่าจะเป็นความผิดพลาดของบ้านเมืองที่มี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุผลนี้จึงไม่สามารถที่จะไว้วางใจให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีได้” มงคลกิตติ์กล่าวในที่สุด
“ชลน่าน”ชี้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ทุจริตต่อหน้าที่ ฉ้อฉล
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยเริ่มจากการขอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยืนไว้อาลัยให้กับความสูญเสียของพี่น้องประชาชน
นพ.ชลน่าน อภิปรายชี้ให้เห็นว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขาดจิตสำนึกในการบริหารประเทศจนน้องประชาชนที่ต้องยากลำบาก ประเทศชาติเสียหายยับเยิน ซึ่งขณะนี้ในเวลา 1 ชั่วโมง มีผู้ติดเชื้อไม่ต่ำกว่า 1 พันคน ตายชั่วโมงละไม่ต่ำกว่า 10 คน ซึ่งไม่รู้ว่าใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไป
.
พลเอกประยุทธ์ และ อนุทิน ทำลายวงจรชีวิตมนุษย์ตั้งแต่ในครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน ที่ผ่านมาพี่น้องประชาชนต้องสูญเสียไปเป็นจำนวนมาก พ่อแม่หลายคนไม่มีสิทธิแม้จะเห็นหน้าลูกของตัวเองในวาระสุดท้ายและได้เห็นแต่ห่อเถ้ากระดูก และชีวิตน้อยๆ ของทารกไม่มีโอกาสได้เห็นพ่อแม่ที่เสียชีวิตไปเพราะติดโควิด
พลเอกประยุทธ์และอนุทิน บริหารจัดการสถานการณ์ผิดพลาด บกพร่อง เสียหายอย่างร้ายแรง โดยสรุป คือ
1. ไร้ภูมิปัญญา ไร้วิสัยทัศน์ สั่งการไม่เป็นไปตามแผนงานโครงการ
2. รวบอำนาจ แบบที่เขาเรียกกันว่าเป็นโรคโอหังคลั่งอำนาจ หรือ Hubris Syndrome ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา ไม่เห็นคนหัวคนอื่น ซึ่งได้สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสียหายเกิดขึ้นอย่างร้ายแรง
3. เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ทุจริตต่อหน้าที่ ฉ้อฉล
ที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ หลงในอำนาจ เป็นนายกฯ จอมสั่งการ และได้ทำให้ ครม.ชุดนี้เป็น ครม. เป็ดง่อย ภาษาทั่วไปเรียกว่าเผด็จการ ที่สำคัญคือได้เอาทหารฝ่ายความมั่นคงมาเป็นหมอรักษาเชื้อโรคและทำงานด้านสุขภาพ แต่ไม่เอาหมอมารักษาโรค จนมีคนป่วยและคนตายจำนวนมาก ซึ่งการทำอย่างนี้เป็นเรื่องการทำเพื่อความมั่นคงของตัวเอง ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแบบไม่เคยยกเเลิก ไม่ใช่เพื่อควบคุมโรค แต่ใช้เพื่อควบคุมม็อบ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เพียงพลเอกประยุทธ์และ นพ.ชลน่าน แก้ไขวิกฤตไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นการแอบแฝงผลประโยชน์ทางการเมือง มีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง โดยเฉพาะกรณีการเปิดศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ที่มีวัคซีนฉีดมาโดยคลอด แต่ กทม. และ กระทรวงแรงงาน ที่เปิดจุดฉีดวัคซีนเช่นกัน แต่กลับไม่มีวัคซีนให้ฉีด
การบริหารจัดการวัคซีนที่ผ่านมามีปัญหาอย่างมาก ส่อว่าจะเกิดการทุจริตและกระทำโดยมิชอบ
แม้แต่วัคซีนวัคซีนบริจาคยังเป็นปัญหาเพราะกระจายอย่างไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะพลเอกประยุทธ์ มีข้อสั่งการให้วัคซีนเป็นสินค้าสาธารณะและรัฐเท่านั้นที่จัดหาจัดซื้อได้ ทั้งๆที่ วัคซีนเป็นสินค้าที่ภาคเอกชนมีศักยภาพในการจัดหาและแข่งขันกันในตลาดได้ แต่เพราะมองเห็นว่าวัคซีนเป็นสิ่งที่จะหาประโยชน์ได้ อีกทั้งยังมีความพยายามขวางกั้น ปิดกั้น ไม่ให้วัคซีนต่างๆ เข้ามาประเทศไทย เพื่อเปิดทางให้วัคซีนที่ท่านอยากซื้อและวัคซีนที่ท่านคิดว่าเป็นของพวกท่าน แม้แต่การเข้าร่วมโครงการโคแวก สุดท้ายต้องมาขอรับบริจาควัคซีนจากต่างประเทศ
ท่านได้ทำให้ระบบสาธารณสุขไทยล้มเหลว ล้มละลาย จากที่เคยได้รับการชื่นชมว่าระบบบริการทางการแพทย์และระบบสาธารณสุขเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียน เมื่อปี 2562 แต่ตอนนี้ติดลบและอาจจะไม่มีคะแนนเหลืออยู่เลย เรากำลังอาจจะเข้าสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
การปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมายและมติ ครม. โดยเฉพาะกรณีการจัดซื้อชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) 8.5 ล้านชุด ซึ่งต้องผ่านการรับรองขององค์การอนามัยโลก สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ไปใช้ในการตรวจรักษา จึงต้องการความแม่นยำ จึงมีการกำหนดสเปคไว้ค่อนข้างสูง แต่ต่อมากลับมีการแก้ไขคุณสมบัติ เนื่องจากบริษัทที่เข้าแข่งขันมีลักษณะสำหรับใช้ด้วยตัวเองเท่านั้นและมีราคาถูก ซึ่งอาจเป็นปัญหาเรื่องความไวต่อเชื้อไวรัส ที่เรียกว่าเป็นผลลบลวง
พลเอกประยุทธ์ออกข้อสั่งการเมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2564 การจัดหาชุดตรวจ ATK จะต้องผ่านการรับรองขององค์การอนามัยโลก (WHO)และมีความแม่นยำ แต่ปรากฎว่า วันที่ 20 ส.ค.2564 พลเอกประยุทธ์กลับมีข้อสั่งการใหม่ การจัดหาชุดตรวจ ATK ไม่ต้องผ่านการรับรองของ WHO และตัดข้อสั่งการเกี่ยวกับความแม่นยำในการตรวจออก ซึ่ง ครม.ก็ไม่ยับยั้ง จนกระทั่งล่าสุด องค์การเภสัชกรรมก็ลงนามในสัญญาจัดซื้อชุดตรวจ ATK ไปเรียบร้อยแล้ว การกระทำนี้ เป็นการทรยศประชาชนหรือไม่
การเปลี่ยนข้อสังการของพลเอกประยุทธ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เจตนาบริสุทธิ์หรือไม่ ซื่อสัตย์กับประชาชนหรือไม่ ฝ่ายการเมือง ฝ่ายประจำ ร่วมกันกระทำความผิดอย่างรุนแรง ประหยัดเงิน 400 ล้านบาทแลกกับชีวิตประชาชน 8 ล้านคนได้อย่างไร เป็นการใช้ช่องกฎหมาย แสวงหาผลประโยชน์ เอื้อประโยชน์ ทำความผิดต่อพี่น้องประชาชน อย่างร้ายแรง
หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจเสร็จแล้ว ฝ่ายค้านจะมีคำร้องยื่น ป.ป.ช. ทันที เพื่อเอาท่านเข้าคุกในสิ่งที่ท่านทำให้เกิดขึ้นและอาจสามารถนำท่านขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เพราะสิ่งที่ทำให้คือปฏิบัติ ละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ ทุจริตต่อหน้าที่ จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขขัดต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมายและมติ ครม. และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการจงใจทำขัดรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน
.
วันนี้สิ่งที่ต้องถามว่า ยุทธศาสตร์ของพลเอกประยุทธ์ว่า มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน แต่พฤติการณ์ที่ทำอยู่ในวันนี้ คือ หนี้มั่นคง จนมั่งคั่งและจะตายอย่างยั่งยืน แล้วเราจะยังมีผู้นำชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา กันต่อไปหรือ
นายกฯยันระบบสาธารณสุขไทยไม่ล้มเหลว.
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงการอภิปรายของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดน่าน พรรคเพื่อไทย ว่า ระบบสาธารณสุขไทยไม่ได้ล้มเหลว มีมาตรการควบคุมแต่ละช่วงแตกต่างกัน ไม่มีใครต้องการละเว้นในสิ่งที่ต้องกำกับดูแล แต่มีมาตรการเฝ้าระวัง ควบคุมโรค การสุ่มตรวจเชิงรุก
.
ส่วนเรื่องชุดตรวจ ATK นั้น รัฐบาลจัดหามา 8.5 ล้านชิ้น ให้สอดคล้องสถานการณ์ พร้อมยืนยันว่าไม่เคยสั่งการให้ซื้อชุด ATK ที่ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) จำได้ว่าไม่ได้พูด ถอดเทปการประชุมดูก็ไม่มี และตอนนั้นยังไม่มีการรับรองมาตรฐานจาก WHO ให้กับประชาชน มีเพียงให้กับบุคลกรทางการแพทย์เท่านั้น ให้ไปถอดเทปการประชุมดูเลยก็ได้
.
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า เรื่องโควิดจะไม่โทษใคร เพราะเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องช่วยกัน ช่วงแรกอาจมีการตกหล่นเพราะโรงพยาบาลเต็ม แต่ก็มีการพัฒนาแก้ปัญหาจนสถานการณ์ดีขึ้น ไม่มีการปกปิดยอดตามที่พูด และตนเองก็เสียใจที่มีการสูญเสีย ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ไม่อาจไปค้าความตาย อย่าใช้คำพูดเวอร์เกินไป เข้าใจหัวอกครอบครัว ตนก็มีพ่อแม่ ไม่สามารถไปสั่งการให้ฉีดวัคซีนอย่างไรก็ได้ ขอให้ฟังแพทย์ด้วย
.
“วันนี้เราต้องอยู่กับโควิดให้ได้ จึงต้องมีมาตรการคลายล็อกตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ให้เศรษฐกิจและสุขภาพเดินไปด้วยกัน เรื่อง Phuket Sandbox จังหวัดภูเก็ตไม่ได้ล้มเหลว” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว
.
พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนเรื่องการทุจริตก็ให้เป็นไปตามกระบวนการ และขอชี้แจงว่าไม่ใช่คนที่ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วจะสั่งโน่นสั่งนี่ สั่งแบบนั้นมันบ้าแล้ว การตัดสินใจของตนยึดหลักการวิชาการ สถิติ ไม่ได้ตัดสินใจอะไรเอง ไม่เคยสั่งการอะไรลับ ไม่เคยทุจริต และไม่คุ้นเคยกับการทุจริต แต่การตัดสินใจของทหารละเอียด ต้องรับฟัง รอบคอบ
.
“ผมได้รับการสั่งสอนจากพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ให้พูดจาสุภาพเรียบร้อย ไม่พูดหยาบคาย เหยียดหยาม ดูถูกคน พ่อแม่สอนไว้ว่าสำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล พยายามจะทำให้สภาแห่งนี้เป็นสภาของผู้ทรงเกียรติอย่างแท้จริง” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว